เกียร์-อภิรัฐ ชมภู ทีม Editor แห่ง BrandThink เกี่ยวกับวิธีการทำงานในด้านการตัดต่อทั้ง 3 งาน แต่มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด การทำงานทั้ง 3 งานจะเป็นยังไง ต้องใช้เทคนิค หรือวิธีการทำงานยังไง มาดูกันเลย
การทำ ‘สี’ ซีรีส์ Groovin’on รักนี้ต้องอิมโพรไวส์
“งานที่เกี่ยวกับ Color Grading สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับผมคือการจัดการฟุตเทจจำนวนมหาศาล และ โปรเจคที่มีขนาดใหญ่ ไม่ใช่ว่าการทำสีให้สวยไม่สำคัญ นั่นก็สำคัญ แต่การทำงานกับฟุตเทจมหาศาลมัน ยากมากกว่าจริงๆ”
“ในขั้นตอนแรกของการจะเริ่มงานเราต้องถามทีมก่อนว่าฟุตเทจทั้งหมดที่เราถ่ายมาเนี่ย มีขนาด เท่าไหร่ เราต้องจบงานที่ resolution อะไร และมีเวลาในการทำงานแต่ละ EP นานเท่าไหร่ เพราะสิ่งเหล่านี้จะ เป็นการกำหนด work flow ในการทำงานตั้งแต่ EP แรก ไปจนถึง EP สุดท้าย ซึ่งในช่วงนี้อาจจะเป็นช่วงที่ยุ่ง และวุ่นวายที่สุด เพราะเราต้องหาร Harddisk ที่สามารถใส่ฟุตเทจขนาด 22 Gb เข้าไปให้ เราเลยเลือกใช้ การทำงานผ่าน External Hard Drive Enclosure ของแบรนด์ Orico เพราะเป็นแบรนด์ที่มีศูนย์ในไทยโดยตรง ถ้ามี ปัญหาอะไรจะง่ายต่อการซ่อม แล้วก็มีจำนวน bay อยู่ที่ 5 bay ทำให้สามารถใส่ Hard disk ได้ ตามจำนวนฟุตเทจที่ต้องการพอดี”
“เมื่อซื้อ Hard Drive Enclosure กับ Hard disk มาใส่แล้วก็จะเริ่มทำการ copy ฟุตเทจทั้งหมดลง ซึ่งขั้นตอนนี้อาจกินเวลาประมาณ 2 วัน เพราะไม่สามารถทำในช่วงกลางวันที่ต้องทำงานอื่นอยู่ได้จึงต้อง copy ในช่วงกลางคืน สุดท้ายเมื่อเรา copy ฟุตเทจเตรียมพร้อมทั้งหมดแล้ว เราก็จะมาสร้างโปรเจคใน การทำงานกัน โดยการทำงานซีรีส์นี้เราเลือกใช้ davinci resolve 17 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดในการ จัดการแก้สีทั้งหมด เราเลือกใช้ luts จากค่าย BONSAI 3D LOG LUT’S มาใช้แก้สีในเรื่องนี้ทั้งหมด เพราะมี สีที่ดีเหมาะกับซีรีส์ในไทย และค่อนข้างดูง่าย ไม่ใช่สีที่จัดจ้านอะไรมากมาย และก็ไม่ใช่สีที่สไตล์จัด การเลือกใช้สีใน luts นี้สิ่งที่ต้องระวังสำหรับเรามีเพียงเรื่องเดียวคือ การที่สีม่วง ถ้าม่วงมากเกินไปมันจะทำให้เปื้อนผิวนักแสดง เราจะคอยระวังสีนี้เป็นพิเศษ โดยการแก้เฉพาะสีนี้แล้วบิด hue ไปทางน้ำเงินนิดหน่อย และอีกสิ่งที่ต้องระวังคือช่วงเวลา ถ้าสีที่ใช้ใกล้เคียงกันมากเกินไป จะทำให้แยกไม่ออกว่ากำลังพูดถึงอดีตหรืออยู่ในปัจจุบัน”
“ปัญหาในการทำงานนี้ส่วนใหญ่สำหรับเราคือการที่คอมพิวเตอร์ค่อนข้างช้า และไม่ค่อยเหมาะกับ การทำงานสีขนาดนั้นแล้ว เพราะด้วยตัวฟุตเทจในปัจจุบันที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่มาก บวกกับการ์ดจอ ของคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้ถูกดีไซน์ มาให้ทำงานหนัก และเป็นเวลานานขนาดนั้น บางช่วงของการทำงานก็จะมีโปรแกรมเด้งหลุดไปบ้าง, export ไฟล์ออกมาไม่ได้บ้าง บางครั้งก็ทำให้เสียเวลาในการทำงานไป พอสมควร”
Sauce Chef Bing ร้าน New York พิซซ่าของแท้
“เอาจริงๆ หลังจากการทำงานสีซีรีส์อยู่ประมาณ 2 – 3 เดือน ทำให้ลืมไปเลยว่า sauce เนี่ย ตัดยังไงนะ ไม่ได้เวอร์นะแต่ว่าลืมจริงๆ ลืมไปเลยว่าการจัดการฟุตเทจจำนวนเยอะๆ สำหรับงานตัดเนี่ยทำยังไงนะ”
“วันแรกของคิวตัดหมดวันไปกับการโหลดฟุตเทจทั้งหมด และการเตรียมการโปรเจค”
คือการตัดงาน แต่ละตัวเนี่ย เราว่าการเตรียมโปรเจคสำคัญมากเลยนะ ไม่ว่าจะงานเล็กงานใหญ่เราอยากให้ทำมันบนมาตรฐานเดียวกัน ถึงจะใช้เวลานานไปบ้าง แต่กลับมาดูเมื่อไหร่ก็สามารถแก้ไขได้โดยไว ไม่งง ส่งต่อโปร เจคให้ใครทำก็เข้าใจง่าย”
“หลังจากเราเตรียมโปรเจคเสร็จ คือขั้นตอนการฟังสัมภาษณ์ทั้งหมด ซี่งตรงนี้แหละที่เป็นปัญหา เพราะการสัมภาษณ์ผ่านแมสก์เนี่ยเสียงฟังยากมาก และแก้ไม่ค่อยได้ซะด้วย แล้วเชฟเองก็เป็นคนที่ไปอยู่เมืองนอกมานานเกิน 10 ปีแล้วด้วย ภาษาไทยเลยไม่ค่อยแข็งแรง งึมๆ งัมๆ ต้องค่อยๆ ฟังเลยแหละ”
“สุดท้ายเมื่อเราได้เนื้อหาทั้งหมดมา เราจะมาเลือกเพลงเพื่อตั้ง Mood ให้กับตัว Video ตัวนี้โดยเรา จะเลือกเพลงที่สนุก และฟังง่าย มี groove ที่พอจะขยับตัวนิดๆ เวลาฟัง (หมายถึงตอนฟังเองอ่ะ) ส่วนใหญ่ ที่เลือกให้ sauce ก็จะเป็น funk นี่แหละ เพราะสนุกจริงๆ คนฟังผ่านๆ ไม่รู้ว่าเนื้อหาแม่งคืออะไรยังรู้สึกสนุกเลยนะ แล้วอีกอย่างมันก็ค่อนข้างทำงานได้ดีกับเนื้อเสียงพี่แทน (ITAN) อย่างน้อยก็สำหรับหูเราแหละ”
“เมื่อตั้ง mood ให้ตัววิดีโอเสร็จเอาจริงๆ ก็เหมือนจะจบแล้วนะสำหรับ sauce เพราะ insert เราก็แค่ ใส่ตามขั้นตอน ซึ่งเราก็มาทำการ slow ตาม mood นั้นๆ หรือหาจังหวะเบรคให้เสียงใน insert ทำงานบ้าง ซึ่งก็ไม่ยาก แต่มันจะลำบากตรงที่บางครั้งตัววิดีโอยาวมากๆ พอใส่เอฟเฟค หรือปรับแต่งอะไรมากแล้ว ค้าง ค้างยาวเลย บางครั้งก็เด้งออก แต่ก็เข้าใจได้ เพราะเอฟเฟคที่เราใส่มันเยอะจริงๆ และคอมก็เหมือนจะมีปัญหาเรื่องการระบายความร้อนด้วย แต่สุดท้ายวิดีโอก็จบในคิวพอดี (เอาจริงๆ ก็เกือบไม่ทันแหละ เพราะกว่าเราจะรื้อความจำการตัดก็ใช้เวลานานอยู่)”
Stay โลก ซึม เศร้า
“การตัดงานนี้สำหรับเราคือใช้พลังงานสูงมากไม่ใช่ว่าฟุตเทจเยอะ หรือสัมภาษณ์มาเยอะนะ (เอาจริงๆ ก็คุยมากันเยอะแหละ ฮ่าๆ) แต่สิ่งที่ผู้ถูกสัมภาษณ์มันค่อนข้างทำงานกับความรู้สึก และเราก็จินตนาการตาม ตลอด มันเลยใช้พลังงานในการฟังเรื่องราวเหล่านั้นมากๆ”
“จริงๆ ภาพรวมของงานนี้ผู้กำกับเปิดหนังเรื่องนึงให้ดูซึ่งก็เป็นหนังที่เราชอบมากอยู่แล้ว มันเลย ไม่แปลกเลยถ้า Mood ของวิดีโอนี้จะเหมือนหนังเรื่องนั้นมาก ซึ่งสิ่งที่ยากในการทำงานมันคือ สิ่งที่พูดถึงในตัววิดีโอนั้นแหละ ประเด็นเรื่องโรคซึมเศร้า เป็นประเด็นที่เวลาจะพูดถึงต้องระมัดระวังในระดับนึง เพราะมันทำงานกับความรู้สึกของผู้ฟังโดยตรง ยิ่งกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าถ้าได้ยินอะไรที่มันทำให้เขารู้สึกแย่เข้าไปอีก หรือชี้นำเขาไปสู่การกระทำอะไรบางอย่างที่ไม่ดีวิดีโอนี้อาจเป็นสิ่งผิดพลาดมากๆ ของคนที่สร้างมันขึ้นมาแน่ๆ”
“อีกเรื่องที่สำคัญคืองานด้านภาพของวิดีโอตัวนี้ต้องไม่ชี้นำ และไม่สื่อไปในทางความรุนแรงด้วย ซึ่ง ก็เป็นโจทย์ที่ค่อนข้างยาก เพราะบางครั้งที่ผู้สัมภาษณ์พูดถึงเรื่องเหล่านั้น เราก็จะต้องหาภาพที่สื่อสาร และไม่ชี้นำไปด้วยแล้วฟุตเทจที่ถ่ายมาเอาจริงๆ สำหรับวิดีโอความยาว 30 นาทีเนี่ย ถือว่าถ่ายมาน้อยมากๆ แต่ก็เข้าใจได้ด้วยหลายสาเหตุ ซึ่งจริงๆ ส่วนตัวแล้วมองว่า ถ้ามีฟุตเทจมากกว่านี้จะได้ภาพที่ครบ และสื่อสารออกไปได้ดีกว่านี้มาก”
“การเลือกเพลงประกอบเรื่องนี้เอาจริงๆ มันจะมีหลายพาร์ทเหมือนกันที่เราก็มีภาพในหัวแล้ว แต่ในฟุตเทจมันไม่มี เราเลยจำเป็นต้องใส่แบบนั้นไป (ช่วงที่เป็นเสียงเครื่องสาย) แต่เพลงโดยรวมเป็นเพลงที่ไม่ได้มีจังหวะที่เร็ว จะค่อนข้างเป็นเพลงที่มีมวล มีอารมณ์ในเพลงมากกว่าความไพเราะหรือเมโลดี้ที่สวยงาม โดยเฉพาะเพลงในช่วง end credit เป็นเพลงที่เราเลือกกับผู้กำกับว่าเพลงนี้คงเป็นเพลงที่เหมาะสุดแล้วแหละ (ส่วนตัวเราชอบมาก) เพราะมันทำงานมากๆ กับการนั่งอ่านชื่อ และทบทวนเนื้อหาทั้งหมดที่ผ่านมา ของเรื่องราวตลอด 30 นาทีที่ได้ดู อีกอย่างในเนื้อเพลงยังมีคำที่ค่อนข้าง positive จึงเหมาะกับการเป็น เพลงให้กำลังใจทุกคนที่กำลังเจอเรื่องราวหนักๆ ในชีวิตหลังจากดูวิดีโอตัวนี้จบ”
ส่วนในครั้งต่อไปเราจะไปร่วมพูดคุยกับทีมงานเบื้องหลังคนไหน ติดตาม BrandThink House เอาไว้ได้เลย!