2 Min

‘ตาย’ แค่ไหนถึงเรียกว่า ‘ตายสนิท’ เมื่อร่างกายพยายามมีชีวิตต่อหลังหัวใจหยุดเต้น

2 Min
1816 Views
13 Dec 2021

‘ความตาย’ เป็นกระบวนการปริศนาที่มนุษย์สงสัยมากที่สุดในโลก ที่ผ่านมาวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการตายเป็นเหมือนกับการปิดสวิตช์ ว่างเปล่า และไม่มีอะไรที่ซับซ้อนเหมือนกับเครื่องยนต์ที่หยุดทำงาน แต่ล่าสุดนักวิจัยได้พบว่าความตายเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนมากกว่านั้น เพราะเมื่อหัวใจหยุดเต้นแล้วร่างกายอาจยังไม่ได้ ‘ตายสนิท’

งานวิจัยนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์นิว อิงแลนด์ (New England Journal of Medicine, Dhanani and his team) โดย ดร. ซอนนี เดนานี (Sonny Dhanani) และทีมจากสถาบันวิจัย CHEO ได้ศึกษาสรีรวิทยาของการตายในกรณีผู้ป่วยซึ่งครอบครัวยุติความเจ็บปวดด้วยการถอดเครื่องช่วยหายใจและบริจาคอวัยวะกว่า 631 ราย ระหว่างปี 2014-2018

โดยทีมวิจัยได้ตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต และความอิ่มตัวของออกซิเจน ตั้งแต่ขั้นตอนการถอดเครื่องช่วยหายใจ และยาต่างๆ ถูกถอดออก ไปจนถึง 30 นาทีหลังหัวใจหยุดเต้น และพวกเขาก็ค้นพบความจริงที่น่าประหลาดใจว่า 14 เปอร์เซ็นต์ของกรณีตัวอย่าง หัวใจมีปฏิกิริยาเกิดขึ้นหลังหยุดเต้นไประยะหนึ่ง หัวใจและชีพจรกลับเต้นอีกครั้งเป็นเวลาสั้นๆ ตั้งแต่ 64 วินาที ไปจนถึงกรณีที่นานที่สุดคือ 4 นาที 20 วินาที

แน่นอนว่าไม่มีผู้ป่วยคนไหนที่ฟื้นคืนสติหรือกลับมามีชีวิตเหมือนกับในภาพยนตร์ แม้ว่าหัวใจจะมีกลับมาเต้นอีกครั้งสั้นๆ แต่มันจะหยุดลงถาวรในเวลาต่อมา เพราะการกลับมาทำงานในเวลาน้อยนิดและอ่อนแรงนั้นไม่แข็งแรงเพียงพอที่จะทำให้อวัยวะอื่นๆ เช่น สมอง กลับมาทำงานได้

โจแอนนา ลี ฮาร์ท (Joanna Lee Hart) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านปอดและผู้ป่วยวิกฤตจากโรงเรียนการแพทย์ของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย (Pennsylvania) ระบุว่า การพยายามกลับมาทำงานของหัวใจหลังจากที่หยุดเต้นไประยะหนึ่งแล้ว แสดงให้เห็นว่าร่างกายของเราออกแบบมาเพื่อให้ ‘มีชีวิต’ และพยายามทำทุกวิถีทางให้รอด ร่างกายสูบฉีดสารเคมีต่างๆ เพื่อรักษาชีวิตไว้ให้ได้นานที่สุด แต่แน่นอนว่าเมื่อร่างกายเข้าสู่กระบวนการตายแล้วมันเป็นเรื่องยากมากๆ ที่จะทำร่างกายนี้อยู่อดต่อไปได้

การค้นพบครั้งนี้ทำให้เราเห็นว่าความตายเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องและหลายครั้งมันอาจสร้างความสับสนว่าตกลงแล้วเมื่อไร ที่เราจะเรียกได้ว่าร่างกายนี้ ‘ตายสนิท’

ประเด็นน่าสนใจจากกรณีเหล่านี้คือผู้ป่วยที่บริจาคอวัยวะ ซึ่งทางการแพทย์ต้องยืนยันว่าเจ้าของอวัยวะเสียชีวิตแล้วจึงจะสามารถนำอวัยวะมาได้ ซึ่งแนวทางการปฏิบัติในปัจจุบันแพทย์จะรอเป็นเวลา 5 นาทีหลังชีพจรหยุดลง จึงจะเข้าสู่กระบวนการดึงอวัยวะอย่างปลอดภัย แต่งานวิจัยครั้งนี้ก็แสดงให้เห็นว่าร่างกายของบางคนอาจยังมีความ ‘พยายาม’ ที่จะกลับมามีชีวิตอีกครั้งหลังจากนั้น

การตัดสินเรื่องความตายนั้นละเอียดอ่อนและสะเทือนอารมณ์ทำให้การศึกษาด้านสรีรวิทยาการตายไม่ได้แพร่หลายหรือเกิดขึ้นบ่อยนัก แต่นักวิจัยหลายคนก็หวังว่าวันหนึ่งเราจะเข้าใจกระบวนการความตายได้มากขึ้นกว่าปัจจุบัน เพราะสุดท้ายแล้วมันเป็นสิ่งที่คนทุกคนต้องเผชิญหน้าอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

อ้างอิง: