หินยัดปาก – ตอกกระดูก – ตัดหัว เรื่องสยองของการปราบแวมไพร์ ในยุคกลางของยุโรป

3 Min
700 Views
17 Jan 2022

ย้อนกลับไปช่วงยุคกลางในแถบยุโรป ความกลัวแวมไพร์ของผู้คนดลให้พวกเขาย่ำยีศพบางศพให้หมดสภาพด้วยกลวิธีพิลึกพิลั่น เพื่อหวังว่าศพนั้นที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นศพของผีดิบจะไม่มีวันฟื้นคืนจากความตายขึ้นมาแผลงฤทธิ์ใส่คนเป็น

ศพที่โดนดัดแปลงเหล่านั้นอยู่รอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน และเมื่อนักโบราณคดีค้นพบมัน พวกเขาล้วนขนลุกด้วยความพิศวง

ความกลัวแบบไหนที่ทำให้คนเป็นกล้าลงมือกับศพคนตายได้ขนาดนี้?

ขุดเจอศพประหลาด

ในช่วงต้นเดือนธันวาคม 2016 สื่อโปแลนด์รายงานข่าวนักโบราณคดีค้นพบหลุมศพประหลาด 3 แห่งในสุสานหมู่บ้านกอร์ซีกา (Górzyca) ที่มีชายแดนติดกับประเทศเยอรมนี หัวหน้าทีม ครีซิสตอฟ โซคา (Krzysztof Socha) จากพิพิธภัณฑ์ Kostrzyn Fortress เปิดเผยว่าสามศพนี้ถูกฝังในราวๆ ศตวรรษที่ 13 หรือ 14 และแตกต่างจากศพอื่นๆ ซึ่งถูกฝังเรียงเป็นระเบียบ มือถูกวางไว้ข้างกาย ไม่ก็ประสานทับกันบนอก แต่สามศพนี้กลับถูกฝังอยู่ชายขอบสุสานและมีสภาพที่น่าขนลุก

สองในสามศพถูกตัดหัว และตัดขาวางสลับข้างกัน หนึ่งศพที่ค้นพบว่าคือหญิงชรา ร่างถูกพลิกคว่ำเข้าหาดิน หัวเข่าถูกทุบแตก มากไปกว่านั้น สองในสามศพนั้นถูกตอกกระดูกสันหลังเหมือนต้องการยึดร่างพวกเขาให้ติดอยู่กับดิน

ย้อนกลับไปอีกในปี 2006 ในสุสานเกาะ Lazzaretto Nuovo เมืองเวนิซ ประเทศอิตาลี มีการค้นพบศพประหลาดจากศตวรรษที่ 16 โดย มาตเตโอ บอร์รินี (Matteo Borrini) นักมานุษยวิทยานิติวิทยาศาสตร์ กับทีมจากมหาวิทยาลัยฟลอเรนซ์ (University of Florence)

ท่ามกลางศพอื่นๆ ที่ตายด้วยสาเหตุโรคระบาดและถูกฝังธรรมดาๆ หญิงชราคนนี้กลับถูกฝังโดยมีอิฐยัดไว้ในปาก

ศพประหลาดจากยุคกลางเหล่านั้นเกิดขึ้นเพราะความกลัวผีจะฟื้นจากหลุม แต่มากกว่าความกลัว คือความไม่รู้

บ่อเกิดความกลัวคือความไม่รู้

ในยุโรปช่วงยุคกลาง ความเชื่อว่าที่คนตายฟื้นมาทำร้ายคนเป็นได้ เกิดขึ้นจากความไม่รู้เกี่ยวกับสองเรื่องหลักๆ เรื่องแรกคือการย่อยสลายศพสอง คือเรื่องโรคระบาด

ในกระบวนการย่อยสลายของศพ ผิวหนังของคนตาย ไม่ว่าจะเป็นหนังหัว ขอบเล็บ เหงือก จะเริ่มหดร่นกลับเข้าไป ผมและเล็บเลยดูเหมือนยาวขึ้น เช่นเดียวกับฟัน ทำให้คนยุคนั้นเข้าใจผิดว่า คนตายนั้นตายไม่จริง และเริ่มมีความกลัวเกี่ยวกับผีฟื้นจากหลุมขึ้นมา

นอกเหนือไปจากนั้น ในระหว่างที่อวัยวะภายในของศพเริ่มเน่า ของเหลวในร่างกายกลายเป็นสีดำและสามารถไหลออกมาทางจมูกหรือปาก ซึ่งผู้พบเห็น รวมถึงคนจากยุคกลาง อาจเข้าใจผิดว่ามันคือเลือดและไม่ใช่เลือดของศพ แต่เป็นเลือดของเหยื่อที่ผีดิบออกไปล่ามา

คนยุโรปในยุคกลางจึงเปลี่ยนความผวาเป็นกลวิธีสารพัดเพื่อตรึงผีให้อยู่กับหลุม อย่างที่เห็นกับศพในโปแลนด์

หลายแห่งในยุโรป เช่นในเยอรมนีตอนเหนือ ความเชื่อเรื่องผีดิบโยงใยกับโรคระบาดคนเยอรมันเรียกผีดิบว่า Nachzehrer หรือผู้ล่วงลับความต่างคือมันไม่ได้ฟื้นจากหลุมไปกินใคร แต่จะอยู่ในหลุมเคี้ยวผ้าห่อศพเพราะเข้าใจผิดจากสภาพของผ้าห่อศพที่ขาด เปื่อยยุ่ยไปตามร่างที่เน่าผุ และมองว่านี่เป็นวิธีที่ผีรีดไถชีวิตของญาติหรือคนใกล้ชิดที่ยังมีชีวิตอยู่

ในสังคมยุคกลางที่ยังไม่ค่อยมีความรู้วิทยาศาสตร์ ชาวบ้านจึงเหมาเอาว่า Nachzerer ที่มักเป็นคนแรกๆ ที่ตายในช่วงโรคระบาด คือผีที่พรากชีวิตคนอื่นๆ ให้ตายตามๆ กันไป

ในปี 1679 นักเทววิทยาชาวโปรเตสแตนด์เขียนเรื่องว่าด้วยผีดิบเคี้ยวชีวิตและร่ายวิธีปราบ Nachzerer ด้วยการยัดของใส่ปากศพ ไม่ว่าจะเป็นดิน หิน ไม่ก็กองเหรียญ โดยเชื่อว่าถ้าผีเคี้ยวอะไรไม่ได้ ก็จะอดตายในหลุมไปเอง และจะสาปใครให้ตายตามไปด้วยกันไม่ได้อีก

เช่นเดียวกับในประเทศใกล้เคียงอย่างอิตาลี ที่พวกเขาเรียกผีดิบว่า ‘Strega’ จึงปรากฏหลักฐานความกลัวผีดิบเคี้ยววิญญาณเป็นศพหญิงชราที่โดนอิฐยัดปากอย่างน่ากลัว

เลิกกลัวแวมไพร์

ความเชื่อและความกลัวเรื่องผีดิบยังคงแพร่สะพัดอยู่ทั่วยุโรปไปจนถึงศตวรรษที่ 17 และ 18 ท้ายที่สุด ก็มีผู้นำทางความคิดออกมาทำลายความเชื่องมงาย สมเด็จพระสันตปาปาเบเนดิกต์ที่ 14 (Benedict XIV) ในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 ได้ออกมาประกาศว่าแวมไพร์เป็นจินตนาการและเรื่องแต่งอันผิดพลาดของมนุษย์อีกทั้ง จักรพรรดินี มาเรีย เทเรซ่า แห่งราชวงศ์ฮาพส์บวร์ก ก็วิจารณ์ว่าความเชื่อเรื่องแวมไพร์เป็นแค่เรื่องไสยศาสตร์และหลอกลวง

ท้ายที่สุด แวมไพร์จึงมีจุดจบเช่นเดียวกับความเชื่อเรื่องลี้ลับอื่นๆ ในโลกใบนี้ คือเมื่อมันได้เจอกับความเจริญทางปัญญาและวิทยาศาสตร์ มันจึงเริ่มตายหายไปจากความเชื่อของผู้คน

เศษซากความเชื่อเรื่องแวมไพร์ที่ยังหลงเหลืออยู่ ก็อย่างที่เราๆ เห็นกันในป๊อปคัลเจอร์ คือแวมไพร์ไม่ได้เป็นผีน่าสยองอีกแล้ว แต่กลายเป็นผีหนุ่มรูปงามหรือผีสาวเซ็กซี่ที่ใครๆ ก็อยากเอียงคอให้ดูดเลือดแทน

อ้างอิง