หินยัดปาก – ตอกกระดูก – ตัดหัว เรื่องสยองของการปราบแวมไพร์ ในยุคกลางของยุโรป
ย้อนกลับไปช่วงยุคกลางในแถบยุโรป ความกลัว ‘แวมไพร์’ ของผู้คนดลให้พวกเขา ‘ย่ำยี’ ศพบางศพให้หมดสภาพด้วยกลวิธีพิลึกพิลั่น เพื่อหวังว่าศพนั้น…ที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นศพของ ‘ผีดิบ’ จะไม่มีวันฟื้นคืนจากความตายขึ้นมาแผลงฤทธิ์ใส่คนเป็น
ศพที่โดนดัดแปลงเหล่านั้นอยู่รอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน และเมื่อนักโบราณคดีค้นพบมัน พวกเขาล้วนขนลุกด้วยความพิศวง
ความกลัวแบบไหนที่ทำให้คนเป็นกล้าลงมือกับศพคนตายได้ขนาดนี้?
ขุดเจอศพประหลาด
ในช่วงต้นเดือนธันวาคม 2016 สื่อโปแลนด์รายงานข่าวนักโบราณคดีค้นพบหลุมศพประหลาด 3 แห่งในสุสานหมู่บ้านกอร์ซีกา (Górzyca) ที่มีชายแดนติดกับประเทศเยอรมนี หัวหน้าทีม ครีซิสตอฟ โซคา (Krzysztof Socha) จากพิพิธภัณฑ์ Kostrzyn Fortress เปิดเผยว่าสามศพนี้ถูกฝังในราวๆ ศตวรรษที่ 13 หรือ 14 และแตกต่างจากศพอื่นๆ ซึ่งถูกฝังเรียงเป็นระเบียบ มือถูกวางไว้ข้างกาย ไม่ก็ประสานทับกันบนอก แต่สามศพนี้กลับถูกฝังอยู่ชายขอบสุสานและมีสภาพที่น่าขนลุก…
สองในสามศพถูกตัดหัว และตัดขาวางสลับข้างกัน หนึ่งศพที่ค้นพบว่าคือหญิงชรา ร่างถูกพลิกคว่ำเข้าหาดิน หัวเข่าถูกทุบแตก มากไปกว่านั้น สองในสามศพนั้นถูกตอกกระดูกสันหลังเหมือนต้องการยึดร่างพวกเขาให้ติดอยู่กับดิน
ย้อนกลับไปอีกในปี 2006 ในสุสานเกาะ Lazzaretto Nuovo เมืองเวนิซ ประเทศอิตาลี มีการค้นพบศพประหลาดจากศตวรรษที่ 16 โดย มาตเตโอ บอร์รินี (Matteo Borrini) นักมานุษยวิทยานิติวิทยาศาสตร์ กับทีมจากมหาวิทยาลัยฟลอเรนซ์ (University of Florence)
ท่ามกลางศพอื่นๆ ที่ตายด้วยสาเหตุโรคระบาดและถูกฝังธรรมดาๆ หญิงชราคนนี้กลับถูกฝังโดยมี ‘อิฐ’ ยัดไว้ในปาก
ศพประหลาดจากยุคกลางเหล่านั้นเกิดขึ้นเพราะ ‘ความกลัว’ ผีจะฟื้นจากหลุม แต่มากกว่าความกลัว คือความ ‘ไม่รู้’
บ่อเกิดความกลัวคือความ ‘ไม่รู้’
ในยุโรปช่วงยุคกลาง ความเชื่อว่าที่คนตายฟื้นมาทำร้ายคนเป็นได้ เกิดขึ้นจากความไม่รู้เกี่ยวกับสองเรื่องหลักๆ เรื่องแรกคือ ‘การย่อยสลายศพ’ สอง คือเรื่อง ‘โรคระบาด’
ในกระบวนการย่อยสลายของศพ ผิวหนังของคนตาย ไม่ว่าจะเป็นหนังหัว ขอบเล็บ เหงือก จะเริ่มหดร่นกลับเข้าไป ผมและเล็บเลย ‘ดูเหมือน’ ยาวขึ้น เช่นเดียวกับฟัน ทำให้คนยุคนั้นเข้าใจผิดว่า คนตายนั้นตายไม่จริง และเริ่มมีความกลัวเกี่ยวกับ ‘ผีฟื้นจากหลุม’ ขึ้นมา
นอกเหนือไปจากนั้น ในระหว่างที่อวัยวะภายในของศพเริ่มเน่า ของเหลวในร่างกายกลายเป็นสีดำและสามารถไหลออกมาทางจมูกหรือปาก ซึ่งผู้พบเห็น รวมถึงคนจากยุคกลาง อาจเข้าใจผิดว่ามันคือ ‘เลือด’ และไม่ใช่เลือดของศพ แต่เป็นเลือดของ ‘เหยื่อ’ ที่ผีดิบออกไปล่ามา
คนยุโรปในยุคกลางจึงเปลี่ยนความผวาเป็นกลวิธีสารพัดเพื่อตรึงผีให้อยู่กับหลุม อย่างที่เห็นกับศพในโปแลนด์
หลายแห่งในยุโรป เช่นในเยอรมนีตอนเหนือ ความเชื่อเรื่องผีดิบโยงใยกับ ‘โรคระบาด’ คนเยอรมันเรียกผีดิบว่า Nachzehrer หรือ ‘ผู้ล่วงลับ’ ความต่างคือมันไม่ได้ฟื้นจากหลุมไปกินใคร แต่จะอยู่ในหลุม ‘เคี้ยวผ้าห่อศพ’ เพราะเข้าใจผิดจากสภาพของผ้าห่อศพที่ขาด เปื่อยยุ่ยไปตามร่างที่เน่าผุ และมองว่านี่เป็นวิธีที่ผีรีดไถชีวิตของญาติหรือคนใกล้ชิดที่ยังมีชีวิตอยู่
ในสังคมยุคกลางที่ยังไม่ค่อยมีความรู้วิทยาศาสตร์ ชาวบ้านจึงเหมาเอาว่า Nachzerer ที่มักเป็นคนแรกๆ ที่ตายในช่วงโรคระบาด คือผีที่พรากชีวิตคนอื่นๆ ให้ตายตามๆ กันไป
ในปี 1679 นักเทววิทยาชาวโปรเตสแตนด์เขียนเรื่อง “ว่าด้วยผีดิบเคี้ยวชีวิต” และร่ายวิธีปราบ Nachzerer ด้วยการยัดของใส่ปากศพ ไม่ว่าจะเป็นดิน หิน ไม่ก็กองเหรียญ โดยเชื่อว่าถ้าผีเคี้ยวอะไรไม่ได้ ก็จะอดตายในหลุมไปเอง และจะสาปใครให้ตายตามไปด้วยกันไม่ได้อีก
เช่นเดียวกับในประเทศใกล้เคียงอย่างอิตาลี ที่พวกเขาเรียกผีดิบว่า ‘Strega’ จึงปรากฏหลักฐานความกลัวผีดิบเคี้ยววิญญาณเป็นศพหญิงชราที่โดนอิฐยัดปากอย่างน่ากลัว
เลิกกลัวแวมไพร์
ความเชื่อและความกลัวเรื่องผีดิบยังคงแพร่สะพัดอยู่ทั่วยุโรปไปจนถึงศตวรรษที่ 17 และ 18 ท้ายที่สุด ก็มีผู้นำทางความคิดออกมาทำลายความเชื่องมงาย สมเด็จพระสันตปาปาเบเนดิกต์ที่ 14 (Benedict XIV) ในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 ได้ออกมาประกาศว่า “แวมไพร์เป็นจินตนาการและเรื่องแต่งอันผิดพลาดของมนุษย์” อีกทั้ง จักรพรรดินี มาเรีย เทเรซ่า แห่งราชวงศ์ฮาพส์บวร์ก ก็วิจารณ์ว่าความเชื่อเรื่องแวมไพร์เป็นแค่เรื่อง “ไสยศาสตร์และหลอกลวง”
ท้ายที่สุด แวมไพร์จึงมีจุดจบเช่นเดียวกับความเชื่อเรื่องลี้ลับอื่นๆ ในโลกใบนี้ คือเมื่อมันได้เจอกับความเจริญทางปัญญาและวิทยาศาสตร์ มันจึงเริ่มตายหายไปจากความเชื่อของผู้คน
เศษซากความเชื่อเรื่องแวมไพร์ที่ยังหลงเหลืออยู่ ก็อย่างที่เราๆ เห็นกันในป๊อปคัลเจอร์ คือแวมไพร์ไม่ได้เป็นผีน่าสยองอีกแล้ว แต่กลายเป็น ‘ผีหนุ่มรูปงาม’ หรือ ‘ผีสาวเซ็กซี่’ ที่ใครๆ ก็อยากเอียงคอให้ดูดเลือดแทน
อ้างอิง
- International Business TImes. ‘Vampires’ mutilated before burial in medieval Poland were just people with health problems. https://bit.ly/33muabg
- National Geographic. “Vampire of Venice” Unmasked: Plague Victim & Witch? . https://on.natgeo.com/3tbbcz8
- National Geographic. The Bloody Truth About Vampires. https://on.natgeo.com/3FsYsGJ
- National Geographic. Archaeologists Suspect Vampire Burial. https://bit.ly/3K3zbpN