“การรักเพศเดียวกันเป็นหนึ่งในอาชญากรรมชั่วร้ายที่สุด และคนรักเพศเดียวกันเป็นความอัปยศในโลกนี้และโลกหน้า” นี่เป็นคำถ้อยแถลงของ เชค อับดุลลาซีส อัล–เชค (Sheikh Abdulaziz al-Sheikh) ผู้นำทางศาสนาสูงสุดของซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2021
หลักกฎหมายอิสลามหรือชารีอะ (Sharia) ที่บังคับใช้ในบางประเทศ ได้มีการกำหนดว่า ‘การรักร่วมเพศ’ เป็นเรื่องผิดกฎหมายและมีบทลงโทษที่ร้ายแรงมาก เนื่องจากคำสอนในคัมภีร์อัลกุรอานระบุไว้ว่ามันจะนำมาซึ่งหายนะอันใหญ่หลวงและคนกลุ่มนี้ควรได้รับการลงโทษจากอัลเลาะห์
แต่หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า ครั้งหนึ่งการรักร่วมเพศเคยเป็นเรื่อง ‘ถูกกฎหมาย’ ในอาณาจักรออตโตมัน (ประเทศตุรกีในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นจักรวรรดิอิสลามที่รุ่งเรืองในสมัยศตวรรษที่ 14 – 20 แถมสุลต่านบางพระองค์ก็ยังมีรสนิยมชายรักชายอีกด้วย
ปฏิรูปกฎหมายรักร่วมเพศ
ในช่วงศตวรรษที่ 19 ที่สุลต่าน ‘อับดุลเมจิดที่ 1 (Abdülmecid I) ’ ปกครองอาณาจักรออตโตมัน ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือการปฏิรูปกฎหมาย ‘Tanzimat’ ในปี 1858 ซึ่งมีสาระสำคัญ 3 ประเด็นคือ หนึ่ง คือ ยกเลิกบทลงโทษด้วยการปาหินต่อผู้กระทำความผิดฐานผิดประเวณี สอง ให้การสนับสนุนความเสมอภาคทางสังคม โดยยกเลิกการเลือกปฏิบัติต่อคนนอกศาสนาอิสลามและผลักดันให้มีสถานะเท่าเทียมกับชาวมุสลิม
และสาม คือให้ ‘รักร่วมเพศเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย’
สิ่งที่น่าสนใจคือถึงแม้จะไม่มีการแก้ไขกฎหมายอย่างเป็นทางการ แต่การรักร่วมเพศก็ดูจะเป็นเรื่องปกติสามัญในอาณาจักรออตโตมัน (ที่ได้ชื่อว่าเป็นอาณาจักร ‘อิสลาม’)
ข้อมูลหลักฐานจากหนังสือ ‘The Ottoman World: A Cultural History Reader, 1450–1700’ ระบุว่าในสมัยนั้นมีการคิดค้นคำศัพท์เฉพาะเกี่ยวกับเรื่องเพศขึ้นมากว่าหลายร้อยคำ และมีการพูดถึงคำว่า ‘คนข้ามเพศ’ (Transgender) และ ‘เพศที่สาม’ ที่แยกออกมาจากชายหญิงด้วย
ว่าด้วย ‘เพศ’ ในจักรวรรดิออตโตมัน
การวิจัยระหว่างนักภาษาศาสตร์ด้านออตโตมัน เฮลก้า อาเนทโชเฟอร์ (Helga Anetshofer) และ อิเพก อุนเนอร์–ชิก (Ipek Hüner-Schick) จากมหาวิทยาลัยชิคาโก ร่วมกับ ศาสตราจารย์ด้านวัฒนศึกษา เออร์วิน เซมิล ซิก (Irvin Cemil Schick) ทั้งสามคนได้ร่วมกันวิเคราะห์หาศัพท์เฉพาะทางเพศมากกว่า 600 คำในวรรณกรรมของชาวออตโตมัน และได้ข้อสรุปเกี่ยวกับเรื่องเพศที่สำคัญสองประการ
หนึ่ง ชาวออตโตมันแยกเพศสภาพ (Gender) ออกเป็น บุรุษ สตรี และ ‘เด็กชาย’ ซึ่งเป็นเพศที่ 3 ที่แยกออกมา เพราะยังไม่มีหนวดเคราที่แสดงความเป็นบุรุษ (Masculine) และแบ่งปันลักษณะบางอย่างร่วมกับเพศสตรี ส่วน ‘สตรี’ ก็คือทารกที่เกิดมามีเพศหญิง และจะได้เป็นหญิงไปตลอดตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ถ้าทารกเกิดมามีเพศชาย ก็จะถูกกำหนดให้เป็น ‘เพศเด็กชาย’ ก่อน และจึงค่อยเปลี่ยนเป็น ‘บุรุษ’ ในภายหลัง ซึ่งทำให้ผู้ชาย ในทรรศนะของคนออตโตมันนั้นล้วนแต่เป็น ‘คนข้ามเพศ’ (transgender) ทั้งนั้นเพราะได้ข้ามจากเพศเด็กชายมาเป็นบุรุษหนุ่ม
และสอง ในส่วนเรื่องของเพศวิถี (Sexuality) ชาวออตโตมันแบ่งเพศวิถีออกเป็นฝ่ายรุก (Penetrating) และฝ่ายรับ (Being penetrated) เพศชายสามารถเป็นได้ทั้งรุกและรับ ส่วนเพศหญิงและเพศเด็กชายจะถูกจัดเป็นฝ่ายรับมากกว่า
เพื่อนชายในห้องนอนของสุลต่าน
ดูรูปรสนิยมชายรักชายจากหนังสือ ‘Sawaqub al-Manaquib’ จากศตวรรษที่ 19 ได้ที่นี่: https://bit.ly/34qv2wk
เมื่อเพศวิถีแบ่งเป็นรุกและรับ การร่วมเพศหรือมีเซ็กซ์ในสมัยนั้นจึงค่อนข้าง ‘มีสีสัน’ รสนิยมชายรักชายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากและไม่ใช่เรื่องแปลก ด้วยเหตุนี้ทำให้ประวัติศาสตร์มีการบันทึกไว้ว่าสุลต่านบางองค์ใช้เวลาในห้องนอนกับชายหนุ่มมากกว่ามเหสีของตัวเองเสียอีก
ยกตัวอย่างเช่นคู่ของสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 (Mehmed II) กับราดู ผู้รูปงาม (Radu Cel Frumos) เจ้าชายจากอาณาจักรโรมาเนียที่ถูกจับไปเป็นเชลย ซึ่งภายหลังได้กลายเป็น ‘คนสนิท’ ของเมห์เหม็ดที่ 2
ถึงแม้เรื่องราวของทั้งคู่จะถูกบันทึกไว้อย่างอ้อมๆ ว่าทั้งคู่สนิทกันมากและสุลต่านก็ชอบเขียนจดหมายและแต่งบทกวีให้ ‘เพื่อน’ คนนี้อยู่บ่อยๆ แต่มันก็ดูออกว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ลึกซึ้งเกินกว่าจะเป็นเพื่อนกันธรรมดา
ความเชื่อและศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และถ้ายิ่งมีเรื่องเพศเข้ามาคาบเกี่ยวด้วยก็ช่างยากเหลือเกินที่จะกำหนดว่าแท้จริงแล้วใครผิดหรือถูก หรือจะสามารถระบุได้อย่างชัดแจ้งว่าบรรทัดไหนในพระคัมภีร์ที่เป็นคำสอนดั้งเดิมหรือที่ถูกตีความเพิ่มเติมเข้าไปในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
ท้ายที่สุด ในโลกปัจจุบันที่ความหลากหลายเข้าครอบคลุมอย่างไม่อาจปฏิเสธ การ ‘เคารพความแตกต่าง’ จึงดูเหมือนเป็นหนทางที่ดีที่สุดในเวลานี้ ที่จะทำให้เราทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืนที่สุด โดยไม่มีความเชื่อไหนหรือทัศนคติทางเพศใดมาแบ่งกั้น
อ้างอิง
- ข่าวสด. มุฟตีสูงสุดซาอุฯประกาศ “คนรักเพศเดียวกัน” เป็น “ความอัปยศในโลกนี้และโลกหน้า”. https://bit.ly/3MomVRQ
- Workpoint Today. มองสองมุม “บรูไน” กับโทษประหารเพศที่สาม เหมาะสมหรือไม่? https://bit.ly/35PYvjp
- National Portrait Gallery. Abdülmecid I, Sultan of the Ottoman Empire. https://bit.ly/3HFHFRQ
- Faith Matters. The Tanzimat: Secular Reforms In The Ottoman Empire. https://bit.ly/35v2PF9
- Aeon. What Ottoman erotica teaches us about sexual pluralism. https://bit.ly/3pEPVev
- HISTORY WORKSHOP. Missing Voices in the Age of the Beloveds: Ottoman Same Sex Intimacy. https://bit.ly/3CcJBA0
- Wikipedia. Radu the Handsome. https://bit.ly/35sjdGo