รู้ไหม ตัว @ ที่คุณใช้แท็กเพื่อนทุกวันนี้ เกิดขึ้นเพราะพระขี้เกียจคัดลายมือ

3 Min
752 Views
18 Apr 2022

คนอิตาเลียนเรียกมันว่าตัวทากคนดัตช์เรียกมันว่าหางลิงและคนไทยเรียกมันว่าแอดทั้งสามชื่อจากคนสามชาตินั้นมีไว้เรียกสิ่งเดียว สิ่งนั้นคือสัญลักษณ์ ‘@’

วิถีชีวิตของคนปัจจุบันที่ผูกพันเหนียวแน่นเข้ากับอินเทอร์เน็ต คุณอาจจะคุ้นเคยตัว @ เพราะต้องแท็กเพื่อนในเฟซบุ๊กหรือเมนชั่นในทวิตเตอร์บ่อยๆ หรือส่งอีเมลหลายๆ คนอาจคิดว่ามันเป็นสัญลักษณ์น้องใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของคนยุคเทคโนโลยี

แต่คุณรู้ไหมว่า จริงๆ แล้วเจ้าแอดนี้ มันกลับแก่กว่าที่เราคิดไว้มาก และถ้าคุณจะนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูการกำเนิดของมัน คุณอาจต้องย้อนกลับไปนานกว่า 5 ศตวรรษ หรือบ้างก็เชื่อว่าต้องย้อนไปนานกว่านั้นซะอีก

ตัวแอดมีเรื่องราวการกำเนิดที่ลึกลับ มีทฤษฎีข้อถกเถียงมากมายว่าเจ้าแอดนี้กำเนิดมาจากไหน แต่ที่แน่ๆ คือหลักฐานส่วนมากชี้ว่ามันไม่ได้กำเนิดครั้งแรกในยุคเทคโนโลยีอย่างที่เราหลายคนเข้าใจกัน

พระเมื่อยมือ

ก่อนกูเตนแบร์ก’ (Johannes Gutenberg) จะมาปฏิวัติโฉมหน้าวงการสิ่งพิมพ์โลกด้วยการคิดค้นแท่นพิมพ์โลหะ การทำหนังสือหรือพิมพ์หนังสือเป็นเรื่องของการใช้มือล้วนๆ แน่นอนว่าพระคัมภีร์ก็เป็นหนึ่งในหนังสือที่ต้องพิมพ์ขึ้นเรื่อยๆ และวิธีที่พระในศาสนจักรใช้คือการคัดลอกต้นฉบับเป็นอย่างไร เขียนตามอย่างนั้น อารมณ์เหมือนโดนอาจารย์สั่งคัดลายมือซ้ำๆ นี่ล่ะ

สมัยเรียนเราเมื่อยมือจากการโดนคัดลายมือฉันใด พระสมัยยุคกลางก็ไม่ต่างกัน เพราะอย่างนั้น การเขียนชวเลข’ (Shorthand) จึงเข้ามามีบทบาท สำหรับใครที่ไม่ทราบว่าชวเลขคืออะไร อธิบายง่ายๆ มันเป็นวิธีการเขียนข้อความอย่างย่อ โดยใช้สัญลักษณ์หรือคำย่อเพื่อแทนคำพูด

บางทฤษฎีกล่าวว่า @ มาจากคำภาษาละติน ‘ad’ ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า toward โดยเขียนตัว a แล้วตวัดหางขึ้นมาเพื่อแทนตัว d บางทฤษฎีบอกว่ามันมาจากภาษาฝรั่งเศส ‘à’ บางทฤษฎีสันนิษฐานว่าเป็นคำย่อของคำว่า ‘each at’ โดยเขียนตัว e ให้ครอบตัว a

พ่อค้ารีบจด

หลักฐานแรกที่ปรากฏการใช้ตัว @ ภายนอกศาสนจักร เป็นเอกสารของฟรานเซสโค ลาปี’ (Francesco Lapi) พ่อค้าชาวฟลอเรนซ์ เขาใช้สัญลักษณ์ @ เพื่อแทนแอมโฟเร’ (amphorae) ที่เป็นหน่วยของการนับปริมาณไวน์เท่ากับหนึ่งโอ่งดินใหญ่ ยกตัวอย่างการใช้เช่น ไวน์สองแอมโฟเร จะหมายถึง ไวน์สองโอ่งดินใหญ่ นั่นเอง

หลังจากนั้น ตัว @ ก็เข้ามามีบทบาทในประวัติศาสตร์ทางการค้าขาย เหล่าพ่อค้ามักใช้มันแทนอัตราหน่วยละ’ (at the rate of) เช่น กรรไกร 12 ชิ้นอัตราหน่วยละ 1 บาท เวลาคิดเงินก็จะคิดเป็น 12 บาท เพราะกรรไกร 12 ชิ้น ขายชิ้นละ 1 บาท

เข้าสู่ยุคเครื่องจักรและเทคโนโลยี

เมื่อเข้าสู่ยุคเครื่องจักร (the machine age) หรือในราวๆ ปี 1880-1945 ตัว @ ถูกหลงลืมหายไปบ้าง ในเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่นเครื่องพิมพ์ดีดที่ถูกคิดค้นขึ้นราวๆ กลางศตวรรษ 1800 สัญลักษณ์ @ ก็ไม่ได้อยู่ในแป้นพิมพ์ เช่นเดียวกับในระบบบัตรเจาะรู (punch-card) ในช่วงแรกๆ

การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในปี 1971 เมื่อเรย์ ทอมลินสัน’ (Ray Tomlinson) นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จากบริษัท BBN Technologies พยายามคิดค้นวิธีเชื่อมต่อโปรแกรมเมอร์จากแต่ละเครื่องเข้าด้วยกันในระบบ ‘Arpanet’ ซึ่งคือระบบเบิกทางให้กับการสร้างอินเทอร์เน็ตอย่างที่เรารู้จักในปัจจุบัน

โจทย์ปัญหาคือเรย์ต้องการหาวิธีส่งข้อความหาอีกคนที่อยู่คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นในเครือข่าย Arpanet ด้วยกัน โดยการส่งมีเงื่อนไขคือต้องระบุชื่อของผู้รับ กับชื่อของคอมพิวเตอร์ผู้รับ โดยที่สองอย่างนั้นต้องถูกคั่นกลางด้วยสัญลักษณ์ซึ่งยังไม่ค่อยถูกใช้ในการโปรแกรมและในระบบปฏิบัติการนี้มาก่อน เพื่อเป็นการไม่ให้ระบบคอมพิวเตอร์สับสน

ในตอนนั้นเรย์มีทางเลือกระหว่างเครื่องหมายอัศเจรีย์ (!) หรือเครื่องหมายจุลภาค (,) และยังมีเครื่องหมายเท่ากับ ) ด้วย

ผมพยายามจะหาสัญลักษณ์ที่คนเขาไม่ค่อยใช้กัน เรย์ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Smithsonian และท้ายที่สุด เขาก็เลือกใช้ @ สัญลักษณ์ซึ่งอยู่เหนือตัว P ของระบบแป้นพิมพ์ 33 ตัวอักษรของเครื่องโทรพิมพ์ และหลังจากนั้น มันก็วิวัฒนาการมาอย่างที่เราเห็นๆ กันในปัจจุบัน

อินเทอร์เน็ตคือนวัตกรรมยิ่งใหญ่ที่พลิกโฉมชีวิตผู้คนไปตลอดกาล แต่ใครก็จะไปนึกว่าสัญลักษณ์ @ ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงคนหลายล้านในโลกอินเทอร์เน็ตเข้าด้วยกัน จะมีที่มาเล็กๆ ไม่ลึกล้ำ แต่เข้าใจได้ อย่างการที่พระขี้เกียจคัดลายมือนี่เอง

แล้วคุณล่ะ เคยขี้เกียจคัดลายมือจนเผลอสร้างสัญลักษณ์เป็นของตัวเองบ้างหรือเปล่า?

อ้างอิง