หลอดมาจากไหน? ไปไงมาไงก่อนจะเป็นหลอดพลาสติก

3 Min
1107 Views
11 Oct 2020

ทุกวันนี้กระแสรักษ์โลกมาแรงมาก เรียกได้ว่าสะเทือนไปถึงนโยบายหลาย ๆ ประเทศระดับที่ขนาดเมืองไทยสำนึกเรื่องพวกนี้น้อยกว่าประเทศอื่น ตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไปการแจกถุงพลาสติกทั้งจากร้านค้าและจากร้านสะดวกซื้อก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว และทุกวันนี้ห้างสรรพสินค้าจำนวนไม่น้อยก็เริ่มโครงการนำร่องไปแล้ว และบางคนออกไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตก็ได้งงกันเพราะเขาไม่ยอมแจกถุงพลาสติก

การเอาจริงแบบนี้ ทำให้หลายคนก็เริ่มคิดว่าต่อจากถุงพลาสติก อะไรจะเป็นรายต่อไป และสิ่งที่ทุกคนน่าจะคิดทันทีก็คือหลอดพลาสติก

ในความเป็นจริง เมืองใหญ่หลาย ๆ เมืองในโลกตั้งแต่ในทวีปอเมริกาเหนือจรดใต้ ไปจนถึงยุโรปก็ได้มีการแบนการใช้หลอดพลาสติกไปเรียบร้อยแล้ว แต่ในความเป็นจริง มองในเชิงประวัติศาสตร์ถุงพลาสติกกับหลอดพลาสติกมีประวัติที่แตกต่างกันพอสมควร เพราะมนุษย์เพิ่งใช้ถุงพลาสติกแบบที่ใช้ ๆ กันมาแค่ราว ๆ 40 ปี แต่วัฒนธรรมหลอดพลาสติกมีมาก่อนหน้านั้นหลายสิบปี และถ้าจะพูดถึงวัฒนธรรมหลอดใช้แล้วทิ้งมันก็มีราว ๆ เป็นร้อยปีแล้ว

เอาจริง ๆ หลอดเป็นสิ่งโบราณที่คู่กับอารยธรรมของมนุษย์เรียกว่าในอารยธรรมสุเมเรี่ยนอายุราว ๆ 5000 ปีก็มีการใช้หลอดโลหะมาแล้วเป็นอย่างต่ำ และจริง ๆ ในอารยธรรมที่อเมริกาใต้ที่พัฒนาแยกจากภาคพื้นทวีปก็มีการใช้หลอดโลหะเช่นกัน

ดังนั้นหลอดคือสิ่งที่มีมานานแล้ว และมนุษย์ก็ใช้มันมาตลอด

ในสมัยหลายร้อยปีก่อน ใคร ๆ ก็ใช้หลอด แต่ “หลอด” ของคนสมัยนั้นก็คืออะไรที่หาได้ ซึ่งทั่วไปมักจะเป็นก้านพืชที่เป็นโพรงกลวง ๆ เช่น ในสมัยศตวรรษที่ 19 หลอดที่ใช้กันก็จะทำจากต้นข้าวไรย์แม้แต่ในร้านหรู ๆ ซึ่งเอาจริง ๆ สำหรับชาวบ้านหลอดแบบบ้าน ๆ กว่านั้นก็คือหญ้าหรือฟางอะไรก็ตามที่หาได้ และแน่นอนมันก็ไม่ได้มีความคงทนอะไร เป็นการใช้แบบใช้แล้วทิ้ง

ดังนั้นวัฒนธรรมการใช้หลอดแบบใช้แล้วทิ้งจึงมีมาแต่โบราณแล้ว

ในช่วงร้อยกว่าปีก่อนหลอดจากพืชที่ถือกันว่าคงทนที่สุดในยุโรปคือหลอดจากต้นข้าวไรย์ ซึ่งมันก็ทนได้ระดับดูดไปแล้วไม่แตกหักแบบหลอด “บ้าน ๆ” ที่ว่ามา อย่างไรก็ดี มันก็มีปัญหาสำคัญมาก ๆ อยู่อย่างเช่นเดียวกับหลอดจากพืชอื่น ๆ ซึ่งก็คือปัญหาว่ามันก็จะมีรสของพืชติดมาด้วยตอนดูด

คนที่เซ็งกับปัญหานี้มากคือชาวอเมริกันชื่อว่า Marvin Chester Stone เพราะเวลาเขาไปกินค็อกเทลแล้วร้านให้หลอดจากข้าวไรย์มา เขาดูดไปที่ไรมันได้ “รสหญ้า” มาด้วย

เขาก็เลยเริ่มคิดว่า เราควรจะสร้างหลอดดูดที่ไม่มีรสมาได้แล้ว ซึ่งวิธีการของเขาง่ายมาก เขาเอากระดาษมาทำทรงกระบอกยาวแล้วติดกาวให้มันไม่กางออก แล้วเอาขี้ผึ้งไปเคลือบ

นี่ไม่ได้ฟังดูเป็นนวัตกรรมล้ำอะไรเลย แต่นี่คือสิ่งที่ทำให้ Marvin Chester Stone ได้ชื่อว่าเป็น “บิดาแห่งหลอดสมัยใหม่” เพราะเขาเป็นคนแรกที่ “คิดค้นหลอดที่มันดูดแล้วไม่มีรสพืชติดแบบพวกหลอดจากพืชทั้งหลายที่คนใช้กันมายาวนาน

Marvin Chester Stone คิดค้นหลอดนี้ได้ตอนปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นช่วงที่มนุษย์เริ่มรู้จัก “เชื้อโรค” พอดี และทำให้มนุษย์เริ่มมีความเข้าใจว่าโรคจำนวนมากติดต่อทางน้ำลายได้ นี่ทำให้สิ่งที่เคยไม่เป็นปัญหามาตลอดประวัติศาสตร์อย่าง “การใช้แก้วร่วมกัน” กลายมาเป็นปัญหาด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะพวกตู้กดน้ำสาธารณะที่ปกติจะมีแก้ววางไว้ให้ใช้อยู่ใบหนึ่ง

เมื่อรู้ดังนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือมีการแจกพวกหลอดกระดาษให้ฟรีจำนวนมากบริเวณตู้น้ำสาธารณะ เพื่อให้คนไม่ต้องสัมผัสน้ำลายกันละกันเวลาดื่มน้ำ โรคต่าง ๆ จะได้ไม่ติดต่อ

เรียกได้ว่าสิ่งประดิษฐ์ของ Marvin Chester Stone ที่สร้างมาตอบปัญหาด้านรสชาติ มันดันกลายมาเป็นสิ่งที่ตอบปัญหาทางสาธารณสุขได้ซะงั้น

และภายใต้เทรนด์แนวคิดว่าการดูดน้ำจากหลอดมันสะอาดกว่าการดื่มนี้ พวกร้านค้าต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ ปรับตัวและแจก “หลอดกระดาษ” กันมาเป็นมาตรฐานตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20

พูดง่าย ๆ มนุษย์ใช้หลอดแบบใช้แล้วทิ้งกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 และเหตุผลที่ใช้ตอนแรก มันคือเหตุผลด้านสาธารณสุข มันไม่ใช่เรื่องของ “ความสะดวกสบาย” แบบถุงพลาสติก

ซึ่งในยุคนั้น เนื่องจากหลอดทำจากกระดาษ มันก็ไม่มีปัญหาด้านการย่อยสลาย อย่างไรก็ดี ตั้งแต่หลังสงครามโลกเป็นต้นมา การผลิตพลาสติกถูกลงมาก และสิ่งหนึ่งที่ถูกผลิตมาแทน “หลอดกระดาษ” ก็คือ “หลอดพลาสติก” แบบที่เราใช้ ๆ กันทุกวันนี้ แหละตลอดเกือบ 70 ปีนับแต่นั้น เราก็ใช้หลอดพลาสติกกันมาตลอด

ดังนั้นในแง่นี้การแบนหลอดพลาสติกในแง่ของการเลิกแจกโดยสิ้นเชิง ก็ดูจะเกิดขึ้นได้ยากกว่าการเลิกแจกถุงพลาสติก เพราะอย่างน้อย ๆ คนก็เริ่มใช้หลอดกันด้วยเหตุผลทางสาธารณสุข อย่างไรก็ดี นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะกลับไปใช้ “หลอดกระดาษ” แบบสมัยก่อนได้เช่นกัน

ทั้งนี้ เอาจริง ๆ ขยะพลาสติกที่เกิดจากหลอดมันคิดเป็นสัดส่วนน้อยมาก ๆ ของขยะพลาสติกในโลก (ไม่ถึง 5%) และการรณรงค์ในการแบนหลอดพลาสติกมันก็ดูจะเป็นการเล่นกับความรู้สึกของผู้คนที่ในชีวิตเห็นการทิ้งหลอดพลาสติกมากมายมากกว่าที่เป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ตรงจุดของปัญหาจริงๆ

อ้างอิง