‘จากมูลจระเข้ ถึงแก็ดเจ็ตที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน สำรวจเส้นทางความงามของ ‘สกินแคร์’ ที่เก่าแก่พอๆ กับอายุของมนุษยชาติ

4 Min
200 Views
17 Jun 2024

‘เก่าแก่ พอๆ กับการกำเนิดขึ้นของมนุษยชาติ’

คงเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงเมื่อพูดถึง ‘สกินแคร์’ ไอเทมคู่ใจของใครหลายๆ คน ที่ใช้ได้ทั้งบำรุงผิว หรือป้องกันผิวจากสิ่งกระตุ้นต่างๆ จนทำให้ปัจจุบัน แก็ดเจ็ตนี้ก็ได้กลายเป็นปัจจัยที่ 5 สำหรับใครบางคนไปเลยก็มี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทย ดินแดนที่มีทั้งแดดร้อน และมลพิษที่ยากจะแก้ไข ทำให้สกินแคร์เป็นของจำเป็นสำหรับผู้คนมากเข้าไปอีก อย่างไรก็ตาม สกินแคร์นี้ก็ไม่ได้นิยมใช้เพียงปัจจุบันเท่านั้น หากแต่นิยมใช้มานานแล้ว โดยผู้คนทั่วโลก จากทุกอารยธรรม เมื่อหลายพันปีก่อน เรื่องราว – เส้นทาง – ประวัติศาสตร์ของสกินแคร์จะเป็นอย่างไรนั้น วันนี้เราจะพาทุกคนไปสำรวจกัน!

จากอียิปต์ ถึงวิกตอเรียน เราผ่านอะไรมาบ้าง?

เรามาเริ่มต้นที่อียิปต์โบราณเป็นที่แรก เนื่องจากมีหลักฐานทางโบราณคดีที่บ่งชี้ว่า สกินแคร์ที่เก่าแก่ที่สุดเริ่มต้นที่นี่ ประมาณ 6,000 ปี ที่แล้ว โดยชาวอียิปต์ที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับทะเลทราย จะใช้สกินแคร์เพื่อป้องกันผิวตนเอง จากแสงแดด ทราย รวมไปถึงแมลงน้อยใหญ่ และเพื่อให้ผิวดูคงความอ่อนเยาว์สดชื่น โดยพวกเขาจะใช้น้ำมันแคสเตอร์ น้ำมันงา และน้ำมันมะรุม หยุดยั้งริ้วรอย และป้องกันไม่ให้ผิวแก่ก่อนวัย ก่อนจะใช้สบู่เหลว ที่ทำจากดินเหนียวผสมน้ำมันมะกอกทำความสะอาดผิว แล้วขัดซ้ำด้วยครีม ที่ทำจากการเอาเกลือในทะเลเดดซี มาผสมกับ แตงโม น้ำกุหลาบ และน้ำตาล

และนอกจากนี้ อียิปต์ยังเป็นอารยธรรมที่ให้กำเนิดบุคคลที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘ตัวแม่’ ด้านสกินแคร์ อย่าง คลีโอพัตรา โดยมีบันทึกว่า เธอใช้สกินแคร์เป็นกิจวัตรอยู่เสมอ ผ่านการอาบน้ำด้วยนมและน้ำผึ้ง เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นก่อนจะใช้หญ้าฝรั่นเพื่อช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ควบคู่ไปกับการใช้น้ำมันดอกกุหลาบและน้ำมันส้มประโลมผิว เพื่อความเปล่งปลั่ง

จากอียิปต์ เราไปกันต่อที่สมัยกรีก-โรมันโบราณ ที่มีอายุอยู่ราวๆ 800 ปีก่อนคริสตกาล ไปจนถึง ค.ศ. 600 ในสมัยนี้ มีความเชื่อว่า ‘ผิวขาว’ คือสัญลักษณ์ของชนชั้นสูง นั่นทำให้ในผู้หญิงในสมัยนี้มุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำให้ตนเองมีผิวขาวสว่างใสเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าความขาวนี้ก็แลกมาด้วยความอันตรายอยู่ไม่น้อย เพราะสาวๆ กรีก-โรมันมักจะใช้ครีมที่ทำจาก ชอล์กที่ผสมเข้ากับ ‘มูลจระเข้’ เพื่อประทินผิว ทั้งยังมีการมาสก์หน้า ด้วยมาสก์ที่ทำจากผลเบอร์รีและนมสด ผสมเข้ากับน้ำผึ้งและโยเกิร์ตเพื่อการชะลอวัย อีกทั้งยังปรากฏการอาบโคลน และน้ำมันหอมระเหย เพื่อให้ร่างกายเปล่งปลั่งอ่อนเยาว์อีกด้วย โดยว่ากันว่าผู้หญิงกรีก-โรมันจะใช้เวลาหมดไปกับกระบวนการสปาเช่นนี้ตลอดทั้งวันเลยทีเดียว

ออกจากกรีก-โรมัน ข้ามมาที่ฝั่งเอเชียกันบ้าง เราจะพาทุกคนไปที่ อินเดีย อู่อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทวีป โดยในดินแดนแถบนี้ปรากฏร่องรอยการใช้สกินแคร์มานานแล้วตั้งแต่สมัยประมาณ 3,000 ปีที่ผ่านมา จากการกล่าวถึงครีมชนิดหนึ่งในคัมภีร์พระเวท หมวดอายุรเวท ที่มีชื่อว่าครีม ‘อุปตาน’ (Uptan) ซึ่งครีมอุปตานนี้เป็นครีมบำรุงผิวที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งใช้สำหรับเจ้าสาวในพิธีกรรมก่อนแต่งงานอีกด้วย โดยทั่วไปแล้ว ครีมอุปตานจะประกอบด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น ขมิ้น แป้งถั่วชิกพี นม โยเกิร์ต และสมุนไพร รวมไปถึงเครื่องเทศต่างๆ ทำให้อุปตานเหมาะกับการใช้เสริมความเปล่งประกายให้กับใบหน้าแบบฉ่ำๆ

และนอกจากอินเดียแล้ว อีกอู่อารยธรรมหนึ่งของทวีปอย่างจีน ก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เป็นผู้นำด้านการใข้สกินแคร์มาอย่างยาวนานไม่แพ้กัน โดยในจีนนั้นมีความเชื่อว่า ผู้หญิงที่สวย จะต้องขาวซีด ทำให้สาวจีนใช้ทุกกลยุทธ์ทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองดูซีด อย่างการบำรุงขัดสีฉวีวรรณผิวด้วยน้ำซาวข้าว หรือใช้ผงไข่มุกเพื่อให้ความชุ่มชื้น รวมไปถึงยังมีการใช้ครีมที่ทำจากเห็ดและสารตะกั่ว เพื่อทำให้สีผิวกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น

จากจีน เราจะพาทุกคนนั่งไทม์แมชีนไปที่อีกยุคหนึ่งที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นยุคที่การผลิตสกินแคร์สมัยใหม่ถือกำเนิดขึ้นอย่าง ‘ยุควิกตอเรียน’ โดยยุคนี้ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (ค.ศ. 1837-1901) ซึ่งเป็นยุคที่ถือว่าเป็นจุดสูงสุดของจักรวรรดิอังกฤษ จากการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนจากการผลิตในภาคการเกษตร ไปสู่ยุคแห่งการผลิตเชิงอุตสาหกรรรมขนาดใหญ่ นั่นทำให้ในสมัยนี้ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องสำอางและสกินแคร์ในตะวันตกเริ่มถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมจากค่านิยมของผู้คนที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง ‘ลุค’ เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามในช่วงแรกของการผลิตเครื่องสำอาง- สกินแคร์นั้น ก็ยังจำกัดอยู่ในรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่ทำใช้เองภายในครัวเรือน แต่ต่อมาประมาณปี 1900 เป็นต้นไป ก็เริ่มมีบริษัทต่างๆ อย่าง บริษัท Rimmel Guerlain หรือ Ponds เริ่มผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางในเชิงพาณิชย์เพิ่มมากขึ้น จนทำให้เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเป็นที่นิยม โดยสกินแคร์ชิ้นแรกที่ถูกผลิตขึ้นนั้นเป็นครีมกันแดดจากบริษัท L’Oreal ที่เรียกว่า ‘Ambre Solaire’ ทำจากเบนซิลซาลิไซเลตที่มีสรรพคุณดูดซับรังสียูวี

ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่แค่การบำรุงผิว

ในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ประเภทบำรุงผิว ได้กลายเป็นที่นิยมอย่างมาก เห็นได้จากการเจริญเติบโตของตลาดสกินแคร์ทั่วโลกที่ไม่มีทีท่าว่าจะชะลอตัวลงเลย โดยในปี 2021 มีรายงานว่า ขนาดตลาดผลิตภัณฑ์ทั่วทั้งโลกมีมูลค่าสูงถึง 146.7 พันล้านดอลลาร์ และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นไปแตะที่ 273.3 พันล้านดอลลาร์ ภายในปี 2030 ซึ่งด้วยขนาดตลาดที่ใหญ่โตเช่นนี้ ทำให้แบรนด์สกินแคร์หลายแบรนด์พยายามสร้างสรรค์เอกลักษณ์ และความพรีเมียมให้กับผลิตภัณฑ์ของตนเอง เพื่อสร้างทางเลือกที่หลากหลายให้กับลูกค้า อย่างแบรนด์ ‘THEN I MET YOU’ แบรนด์ใหม่ล่าสุด จาก SEPHORA ที่หยิบเอาวัฒนธรรมความงามแบบฉบับเกาหลีดั้งเดิมที่ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น มาผสานเข้ากับนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างประสบการณ์การดูแลผิวสุดพรีเมียมให้กับผู้ใช้

และนอกจากประเด็นด้านการสร้างอัตลักษณ์แล้ว ก็ยังมีหลายแบรนด์สกินแคร์ที่ออกผลิตภัณฑ์เพื่อขับเคลื่อนสังคมในมิติต่างๆ มากขึ้น เช่น การขับเคลื่อนประเด็นด้านความเป็นมิตรกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สกินแคร์กลายเป็นเเครื่องมือที่ผู้คนจะใช้ได้ทั้งดูแลตนเองและดูแลโลกไปพร้อมๆ กัน หรือจะเป็นประเด็นเรื่องความหลากหลายที่หลายๆ แบรนด์ก็ได้ออกผลิตภัณฑ์มากมายเพื่อส่งเสริม-สนับสนุนให้ทุกคนภาคภูมิใจในตัวตนที่ตนเองเป็นอย่างกล้าหาญ

อ้างอิง

  • Wildhumanskincare.The History of Skincare.https://tinyurl.com/bd9t4nps
    BEAUTYBIO.Skincare101.https://tinyurl.com/57etyp4m