การ ‘เกลียดสิ่งที่เรารัก’ พบได้ทั่วไป เพราะเราจะไม่เกลียดสิ่งที่เรา ‘ไม่ใส่ใจ’ แต่ทำอย่างไร ‘ความเกลียด’ ถึงจะหายไป?
ปัจจุบันในทางสังคม ‘ความเกลียด’ คือความรู้สึกด้านลบที่คนมักไม่อยากเผชิญ และอาจเป็นสาเหตุของอาชญากรรม เช่น ‘อาชญากรรมความเกลียดชัง’ ซึ่งหมายถึงอาชญากรรมที่มีแรงจูงใจจากความเกลียดชังในอัตลักษณ์ของคนบางกลุ่มโดยเฉพาะ
อย่างไรก็ดี ในทางจิตวิทยา ‘ความเกลียด’ ที่ว่า ไม่ใช่ความเกลียดจริงๆ แต่อาจเรียกว่า ‘ความขยะแขยง’ อะไรทำนองนี้มากกว่า ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน
แล้วอะไรคือความเกลียดชังในทางจิตวิทยา?
หลักๆ แล้ว ถ้าเราคิดว่าความเกลียดคือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความรัก เรากำลังเข้าใจผิด เพราะในทางจิตวิทยา ความรักหมายถึงการรู้สึกกับบางสิ่งอย่างพิเศษกว่าสิ่งอื่นๆ และสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความรักคือความรู้สึก ‘เฉยๆ’ ต่างหาก
และในบริบทแบบนี้ความเกลียดมันคือความรู้สึกเชิงลบที่เกิดกับสิ่งที่เรารัก ในทางจิตวิทยา เราจะไม่เกลียดสิ่งที่เราไม่ใส่ใจ แต่เราจะเกลียดเฉพาะสิ่งต่างๆ ที่เราให้ความสำคัญเป็นพิเศษเท่านั้น เช่นนิสัยบางอย่าง อยู่กับมนุษย์คนอื่นเราอาจไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พออยู่กับคนที่เรารักเราจะรู้สึกเชิงลบอย่างรุนแรง และนั่นเองคือ ‘ความเกลียด’ ในความหมายแบบจิตวิทยา
ในแง่นี้ เวลาพูดถึง ‘ความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งเกลียด’ มันคือเรื่องปกติมาก ไม่ได้ขัดแย้งกันเอง เพราะในทางจิตวิทยาถ้าไม่รักก็จะไม่เกลียด มันไปด้วยกันตลอด
แน่นอนว่า เมื่อ ‘เกลียด’ เราก็มักจะมีอารมณ์รุนแรงตอบโต้เวลาสิ่งที่คนที่เรารักทำสิ่งที่เราไม่พอใจ ไม่ว่านั่นจะเป็นเวลาที่พ่อแม่ห้ามเราทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่แฟนเราตำหนิพฤติกรรมเรา หรือจะเป็นเวลาที่เพื่อนเราพูดอะไรที่เราไม่เห็นด้วยเลย
อารมณ์รุนแรงที่ว่านี้แสดงออกมาได้ในหลายรูปแบบ บางคนก็เก็บอารมณ์ได้สนิท บางคนไม่ปรี๊ดแตก แต่แสดงออกแบบประชดประชัน บางคนก็แสดงความโกรธออกมาตรงๆ เลย
แต่ใดๆ ก็ตาม สิ่งที่มักจะตามมาก็คือความรู้สึกผิดและความละอาย เพราะความเกลียดที่เกิดขึ้นกับ ‘สิ่งที่เรารัก’ มันสร้างความขัดแย้งในใจเสมอ
บางคนก็พยายามจะผ่านมันไป ลืมมันไป จะทำแบบนั้นก็ได้ แต่เราจะไม่เติบโตขึ้น
แล้วเราควรทำอย่างไร?
พูดภาษาชาวบ้านก็คือ ต้องเคลียร์กับอีกฝ่ายทุกครั้งที่เรารู้สึกเกลียดนั่นแหละ ไม่ว่าเราจะแสดงออกไปชัดๆ หรือไม่ในตอนแรก
ทั้งนี้วิธีที่ดีก็เหมือนทุกเรื่อง คือต้องเริ่มจากรอให้เราอารมณ์เย็นลงก่อน แล้วจึงเริ่มเคลียร์ ถ้าเราแสดงออกอย่างไม่เหมาะสมไปไม่ว่าจะเป็นการด่าหรือการประชดประชัน เราก็ควรจะต้องกล่าวขอโทษ และเราก็ต้องพูดความรู้สึกของเราออกไปตรงๆ พร้อมให้โอกาสอีกฝ่ายพูดความรู้สึกออกมาตรงๆ เช่นกัน ก่อนจะหาทางออกร่วมกัน หรือทำกิจกรรมเพื่อฟื้นฟูความรู้สึกที่สูญเสียไป หลักการเป็นแบบเดียวกันหมดในทุกความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นระหว่างพ่อแม่กับลูก ระหว่างคนรัก และระหว่างเพื่อน ที่ต่างกันก็เป็นแค่รายละเอียด
แน่นอน ทั้งหมดฟังดูง่าย แต่ทำจริงๆ บางครั้งยาก เพราะอีกฝ่ายนั้นก็มักจะไม่ปฏิเสธที่จะแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา เช่นถามว่าโกรธหรือไม่พอใจอะไรไหม ก็ตอบว่าไม่ นั่นคือสัญญาณไม่ดี ซึ่งจะโทษอีกฝ่ายอย่างเดียวก็อาจไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง เพราะคนจำนวนมากเลือกที่จะปฏิเสธ เพราะยอมรับไปก็ไม่ได้อะไร พูดความไม่พอใจไป แล้วอีกฝ่ายเถียงตลอด ไม่มีอะไรเปลี่ยน แล้วจะพูดไปทำไม
แน่นอน ตรงนั้นเราก็ต้องทำการบ้านและทำให้อีกฝ่ายมั่นใจว่า ‘พูดได้ ไม่เป็นไร’ จริงๆ ด้วย ไม่ใช่บอกให้อีกฝ่ายแชร์ แล้วเราเอาแต่เถียงและแก้ตัว
แม้แต่ในคนที่รักกัน มันก็ยังมีอะไรที่เกลียดในตัวกันและกันอยู่นั่นเอง ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย ยอมรับได้มันถึงจะไปต่อได้ ซึ่งการไปต่อมันก็เป็นไปได้ตั้งแต่การลากเส้นแบ่งที่ชัดเจน ไปจนถึงการพยายามปรับตัวเข้าหากันและกัน เช่น ถ้าเราเกลียดที่แฟนชอบออกไปกินเหล้าหรือชอบเล่นเกม เราก็อาจคุยเคลียร์กัน วางโควตากิจกรรมให้ชัดเจน เช่น ไปกินเหล้าต้องกลับไม่เกินกี่โมง ถึงกี่โมงต้องโทรบอก หรือกำหนดเวลาเล่นเกมต่อวัน ช่วงนั้นเราก็จะไม่ไปยุ่ง แต่หมดเวลาก็ต้องหยุดเล่นอะไรอย่างนี้ หรืออีกแบบก็คือพยายามทำความเข้าใจกิจกรรมที่อีกฝ่ายชอบทำ แต่เราไม่เห็นว่ามันสนุกยังไง เช่นออกไปร้านเหล้าด้วย หรือเล่นเกมด้วยกัน เป็นต้น
ก็ดังที่เขาว่ากัน ถ้าเข้าใจอะไรมากพอ เราจะเกลียดสิ่งนั้นไม่ลง ซึ่งหากทำแบบนั้นได้ก็จะเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ามันยากเกินไปสำหรับเราในตอนนั้น การลากเส้นแบ่งที่ชัดเจนและมีความเข้าใจร่วมกัน ก็เป็นทางออกที่ทำได้อย่างรวดเร็วกว่า ซึ่งก็ไม่ผิดอะไรถ้าจะใช้ไปยาวๆ เพราะทุกความสัมพันธ์ของมนุษย์มันก็วางอยู่บนฐานของการไม่ล้ำเส้นกันในบางระดับอยู่แล้ว และการคุยกันให้ชัดว่า ‘เส้น’ อยู่ตรงไหน ก็ทำให้การผิดใจกันตรงนี้เกิดได้ยากขึ้น
และก็อย่างที่ใครเคยกล่าวไว้อีกว่า เวลาเรารักอะไร โดยทั่วไปเราไม่ได้รักเพราะสิ่งนั้นสมบูรณ์ แต่เรา ‘รักในความไม่สมบูรณ์’ ของสิ่งเหล่านั้นในแบบที่มันเป็น และเส้นที่ว่านี้มันก็คือการยอมรับว่าเราจะอยู่ร่วมกับความไม่สมบูรณ์นี้อย่างไร โดยไม่ต้องรู้สึกเกลียดชังสิ่งเหล่านั้นในตัวคนที่เรารัก
อ้างอิง
- Psychology Today. Healing Hate in Relationships. https://shorter.me/eQluo