ภาวะโลกร้อนเป็นภาวะที่ยากจะปฏิเสธในปัจจุบัน ซึ่งคนเราก็คงจะรู้สึกถึงภาวะนี้ได้ไม่ยากแล้วกับหน้าร้อนที่ร้อนขึ้นทุกวันในตอนนี้
อย่างไรก็ดี แม้ว่าโลกจะร้อน มนุษย์เราก็ยังมีเทคโนโลยีเครื่องปรับอากาศ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ โลกร้อนก็ร้อนไป เราหนีเข้าห้องแอร์ได้
แต่เหล่าสัตว์ทำไม่ได้ โลกร้อนขึ้นทำให้สัตว์ต่าง ๆ ย้ายถิ่นฐาน และนี่ทำให้ระบบนิเวศรวนไปทั้งระบบ
อธิบายง่าย ๆ ให้เห็นภาพก็คือ ถ้าภาวะโลกร้อนทำให้พื้นที่ที่เคยเป็นน้ำแข็งไม่แข็งเหมือนเคย เปลี่ยนเป็นหญ้าที่เขียวขจี บริเวณเหล่านั้นก็ย่อมดึงดูดให้สัตว์กินพืชไปอยู่ และมันก็ย่อมส่งผลตามมาให้พวกสัตว์กินเนื้อที่กินสัตว์กินพืชเหล่านั้นขยายขอบเขตการล่าไปตามพื้นที่ที่สัตว์กินพืชไปอยู่ใหม่ด้วย และบางทีมันก็ทำให้สัตว์กินเนื้อที่เป็น “เจ้าถิ่น” เดิมอาจมีการปะทะกับสัตว์กินเนื้อที่ตามพวก “เหยื่อ” ของตนเข้าไปในพื้นที่
และสถานการณ์ที่ว่านี้ก็เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแล้วในแถบขั้วโลกเหนือที่นักวิจัยพบว่าเหล่าหมีกริซลีย์เริ่มมุ่งขึ้นเหนือ และเริ่มล้ำเข้าไปในดินแดนของพวกหมีขั้วโลกแล้ว

หมีกริซลีย์ | wikipedia.org
หมีกริซลีย์เป็นสัตว์ที่ “กินหลากหลาย” อาหารของพวกมันไม่ใช่แค่ปลาต่าง ๆ แบบที่เราชอบเห็นภาพว่ามันกินเท่านั้น แต่มันยังกินพวกกวางคาริบู กวางมูส ไปจนถึงพวกลูกเบอรี่ได้ด้วย ซึ่งในภาวะโลกร้อน

กวางคาริบู | nextsteptv.com
มันทำให้บริเวณที่มันหนาวกระดับเยือกแข็งแถบขั้วโลกเหนือลดลง และทำให้พวกต้นไม้เขียว ๆ ไปจนถึงพวกเบอร์รี่ขึ้นได้ นี่ทำให้พวกสัตว์กินพืชต่าง ๆ ขยายถิ่นที่อยู่อาศัยไปทางเหนือขึ้น และทำให้ “นักล่า” อย่างหมีกริซลีย์ย้ายขึ้นเหนือตาม “อาหาร” ของพวกมันไป
ทีนี้ปัญหาคือ พอหมีกริซลีย์ขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ มันก็ย่อมจะไปเบียดบัง “ที่ทำกิน” ของหมีขั้วโลก นี่เป็นสิ่งที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่ายังไงก็ต้องเกิด และตอนนี้ทีมวิจัยก็ได้รายงานว่ามันเกิดขึ้นจริงแล้วในทางตอนเหนือของแคนาดา
บางคนก็อาจมองว่า ทั้งหมดนี่มันจะเป็นปัญหาอะไร คือสัตว์มันก็ตีกันตามธรรมชาตินี่? มนุษย์จะไปยุ่งอะไร?
ประเด็นคือ สัตว์พวกนี้เป็นส่วนสำคัญของระบบนิเวศทั้งนั้นครับ มันมีส่วนในการคุมประชากรสัตว์อื่น ๆ สัตว์ที่เป็นส่วนสูงสุดของห่วงโซ่อาหารนี่ตายไปไม่ใช่จะดี ถ้ามันมีน้อยไป ระบบนิเวศก็รวน
เช่น ถ้าไม่มีหมีขั้วโลกหรือมีน้อยไป พวกแมวน้ำก็จะขยายพันธุ์กันใหญ่โตระดับที่จะทำระบบนิเวศรวนได้ เพราะปลาในทะเลขั้วโลกก็จะมีไม่พอให้แมวน้ำที่ขยายตัวไปเรื่อย ๆ กิน และพอปลาในโซนขั้วโลกน้อยลงมันก็จะส่งผลกระทบในวงกว้างไปอีกสารพัด

หมีกริซลีย์ล่าเหยื่อ | wallhere.com
ซึ่งในการปะทะกับของหมีกริซลีย์กับหมีขั้วโลก พวกนักอนุรักษ์เอาจริง ๆ ไม่ห่วงหมีกริซลีย์เท่าไร เพราะยังมีปริมาณมากอยู่ แต่เขาห่วงหมีขั้วโลกกัน เพราะปัจจุบันบริมาณเริ่มลดน้อยลงจนต้องจับตาแล้ว
บางคนที่มีความรู้หน่อยอาจรู้สึกว่า “การปะทะ” นี้มันรู้ตัวผู้ชนะเห็น ๆ เพราะหมีขั้วโลกตัวใหญ่กว่าหมีกริซลีย์ราว ๆ สองเท่าตัว (ฝ่ายแรกตัวหนักเกิน 500 กิโลกรัม ฝ่ายหลังหนักไม่ถึง 300 กิโลกรัม) แต่ปัญหาคือ นักอนุรักษ์ก็มองว่า ถ้าหมีขั้วโลกตัวเมียที่เลี้ยงลูกอยู่ มันอาจสู้หมีสีน้ำตาลไม่ได้ ซึ่งนั่นก็ไม่ต้องพูดถึงพวกลูกหมีขั้วโลกที่ก็น่าจะสู้หมีสีน้ำตาลตัวเต็มวัยไม่ได้ง่าย ๆ

หมีขั้วโลก | laura lyn photography
มันก็เลยเป็นปัญหาที่น่าปวดหัวอยู่ตอนนี้ เพราะสุดท้ายมนุษย์ก็ไม่สามารถทำให้หมีกริซลีย์ไม่ขึ้นเหนือ และก็ไม่สามารถทำให้หมีขั้วโลกเขยิบถิ่นฐานเหนือขึ้นไปกว่าเดิมเพิ่งเลี่ยงการปะทะได้เช่นกัน
แต่บางคนก็มองโลกในแง่ดีกว่านั้น เพราะมองว่าทั้งสองหมีอาจจะ “พบรัก” กันก็ได้ เพราะจริง ๆ ทั้งสองหมีนั้นมีสายพันธุ์ใกล้กันมากระดับที่สามารถผสมพันธุ์กันแล้วออกมามีลูกได้ และลูกของทั้งสองหมีก็มีอยู่จริง ๆ ในบางสวนสัตว์ก็ยังมี (ซึ่งหมีก็จะออกมาสีด่าง ๆ นะครับ น้ำตาลบางส่วน ขาวบางส่วน และจะมีลักษณะของสองหมีผสมกัน)

หมีกริซลีย์กับหมีขั้วโลก | wallhere.com
แต่ก็นั่นแหละครับ ถ้าจะว่ากันในเชิงระบบนิเวศ หมีทั้งสองนั้นมีบทบาทในระบบนิเวศต่างกันจริง ๆ ถึงจะผสมพันธุ์กันได้ แต่ก็รับบทบาทแทนกันไม่ได้ และตอนนี้โลกก็กำลังเป็นห่วงหมีขั้วโลกสุด ๆ กับภาวะในการดำรงชีวิตที่พวกมันเจอจากภาวะโลกร้อนทั้งทางตรง และทางอ้อม
อ้างอิง: