3 Min

ผิดไหมที่โล่งใจเมื่อคนป่วยที่ดูแลจากไป? ว่าด้วยความรู้สึกที่ย้อนแย้งระหว่างโศกเศร้าและโล่งใจ รวมถึงชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปหลังการดูแลผู้ป่วยหนักสิ้นสุดลง

3 Min
8 Views
20 Jun 2025

หากพูดถึงความโศกเศร้าหลังเผชิญกับความสูญเสียคนที่รักและผูกพัน (grief) ทั้งคนในครอบครัว เพื่อน หรือคนรัก หลายคนก็คงรู้จักกับทฤษฎี ‘5 Stages of Grief’ ระยะแห่งการก้าวผ่านความสูญเสีย ที่เราต้องเผชิญกับความเสียใจและหลากหลายภาวะอารมณ์ กว่าจะไปถึงขั้นยอมรับได้ว่าพวกเขาจากไปแล้วนั้นช่างยากเย็นนัก

ทว่าวันนี้เราจะมาเล่าถึงความโศกเศร้าของคนที่เป็น ‘ผู้ดูแลคนป่วย’ หลังพวกเขาจากไป ซึ่งมีความซับซ้อนและย้อนแย้งกันในด้านความรู้สึกและความคิด รวมถึงเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่พวกเขาต้องก้าวผ่านมันไปให้ได้เมื่อการดูแลผู้ป่วยสิ้นสุดลงแล้วจริงๆ

ช่วงเวลาแห่งการดูแลบุคคลอันเป็นที่รักที่ป่วยหนักนั้นนับว่าเป็นภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ คุณในฐานะผู้ดูแลนั้นจะเต็มไปด้วยความเครียด ความกดดัน หนักใจ บางคนกว่าจะผ่านไปได้ในแต่ละวันนั้นเหนื่อยสายตัวแทบขาด เนื่องจากทำงานไปด้วยและต้องทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยไปด้วย

บางครั้งก็รู้สึกหงุดหงิดเมื่อคนที่คุณดูแลอยู่ดื้อด้าน ไม่ยอมฟัง และอาจมีกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ก็ถือเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เกิดความผูกพันที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ที่ไม่ว่าจะเหนื่อยยากอย่างไรเขาก็คือคนที่คุณรัก หรือต่อให้เหนื่อยแค่ไหน แค่เขายังอยู่กับคุณตรงนี้ก็ยังพอเป็นความสุขให้กันและกันได้บ้างแล้ว

แต่หลังจากที่ถึงเวลาที่พวกเขาต้องจากไปจริงๆ แน่นอนว่าคุณต้องเผชิญกับความโศกเศร้าครั้งใหญ่ แต่ในฐานะคนที่ดูแลใครคนหนึ่งมาตลอดมันไม่ใช่แค่นั้น เพราะหลายคนคงทั้งรู้สึกเศร้าและโล่งใจในเวลาเดียวกัน โล่งใจที่เขาได้หลุดพ้นพันธนาการแห่งความเจ็บปวดที่มีมาตลอด หรือโล่งใจที่ได้ชีวิตของตัวเองกลับคืนมา แต่ขณะเดียวกันด้วยการจากไปนั้นก็ทำให้หลายคนย้อนกลับไปคิดว่า

“ฉันทำเต็มที่แล้วหรือยังนะ”

“มีอะไรที่ฉันควรทำเพื่อให้เขายังมีชีวิตอยู่ต่อไหม”

“หากฉันทำแบบนั้น หรือไม่ทำแบบนี้ พวกเขาอาจอยู่กับฉันต่อไปก็ได้”

นี่คือความรู้สึกและความคิดที่ย้อนแย้งกันไปมา จากนั้นคุณก็จะคิดต่อว่า “แล้วผิดไหมที่ฉันโล่งใจเมื่อเขาจากไป” ซึ่งหลายคนมักไม่เปิดเผยความรู้สึกนี้กับใครเนื่องจากกลัวถูกตำหนิ หรือถูกตีตราว่าเป็นคนไม่ดีที่คิดแบบนั้น

แต่อันที่จริงนั้นไม่ผิดเลย ไม่เป็นไรที่คุณจะรู้สึกโล่งใจ ในเมื่อที่ผ่านมาคุณทั้งคู่พยายามกันอย่างเต็มที่เพื่อที่จะอยู่ด้วยกันให้นานที่สุด จนถึงวันที่พวกเขาได้พ้นจากความเจ็บป่วย

นอกจากนี้ เพราะการสิ้นสุดหน้าที่ในฐานะผู้ดูแลนั้นถือเป็นจุดเปลี่ยนหนึ่งของชีวิตเช่นเดียวกัน จึงทำให้หลายคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเคว้งคว้าง ทำอะไรไม่ถูกและไม่รู้ว่าจากนี้จะทำอย่างไรกับชีวิตต่อไป

จุดนี้เอง จากประสบการณ์ของ ไมค์ เวราโน (Mike Verano) ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตที่ได้รับการรับรองการจัดการความเครียดในเหตุการณ์วิกฤต ได้แนะนำว่า แทนที่จะโบยตีตัวเองด้วยความรู้สึกเหล่านั้น

ให้ลองนึกประสบการณ์จำลองว่า ‘จะเป็นอย่างไร หากในช่วงเวลาสุดท้ายแห่งการจากลานั้น คนที่คุณดูแลเลือกที่จะจากไป เพื่อปลดปล่อยคุณจากภาระอันหนักอึ้งที่ต้องดูแลพวกเขาให้มีชีวิตอยู่’ เพื่อสื่อว่าคุณไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ถ้าเลือกได้พวกเขาอาจเลือกจากไปแทนเพื่อไม่ให้คุณต้องทำหน้าที่นี้อีกต่อไปแล้ว

ดังนั้น หากใครที่กำลังดูแผู้ป่วยอยู่ ไมค์แนะนำว่า ให้หาข้อมูลและแนวทางชีวิตเพื่อเตรียมพร้อมหลังการดูแลสิ้นสุดลง อาจช่วยให้คลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับชีวิตในวันข้างหน้าได้

รวมถึงคนที่ฝึกความยืดหยุ่นทางจิตใจอยู่เสมอ มีความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจอยู่แล้ว มักจะมีสุขภาพจิตที่ดีมากกว่า เพราะจะสามารถช่วยเยียวยาความทุกข์ทรมานที่ตนเองกำลังเผชิญได้รวดเร็วและดีมากยิ่งขึ้น

หลายคนที่เคยเข้ารับการบำบัดกับไมค์ หลังจากบำบัดด้วยวิธีการจำลองสถานการณ์เหล่านี้ พวกเขาก็สามารถดำเนินชีวิตต่อไปข้างหน้าได้ แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลง ช่วงแรกคงทำให้เราทำอะไรไม่ถูก รู้สึกมึนชา เคว้งคว้าง ซึ่งเป็นเรื่องปกติของขั้นตอนการปรับตัว

โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงนั้นพิเศษกว่าครั้งไหนๆ สำหรับบางคนที่มีกันอยู่แค่สองคน คือคุณและคนที่จากไปนั้น แน่นอนว่าจะต้องรู้สึกโดดเดี่ยวและใช้เวลาในการปรับตัวนานกว่า แต่โปรดจำไว้ว่า การสิ้นสุดของหน้าที่ผู้ดูแลไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิตคุณ

สุดท้ายนี้ ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่กำลังเผชิญกับสภาวะนี้อยู่ ให้คุณก้าวผ่านมันไปได้ เพราะคนรักที่จากไปนั้นคงปรารถนาให้คุณใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุขอย่างแน่นอน

อ้างอิง: