เมื่อสังคมบอกให้ผู้หญิง ‘ดิ้นรน’ สู่ความสำเร็จ แนวคิดหญิงแกร่งแบบ ‘Girlboss’ ที่เต็มไปด้วยคำลวงหลอก
Select Paragraph To Read
- จากชีวิตจริงสู่หนังสืออัตชีวประวัติและซีรีส์เน็ตฟลิกซ์ต้นกำเนิดแบบฉบับ ‘Girlboss’
- คำคมชีวิตแบบ ‘เริ่มที่ตัวเอง’ กลายมาเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างและความไม่เท่าเทียมทางเพศที่ถูกมองข้าม
เมื่อได้ยินคำว่า ‘Girlboss’ หลายคนนึกภาพผู้หญิงสวยสตรอง สวมแว่นกันแดด ลิปสติกสีแดง รองเท้าส้นสูง ที่แขนหนีบกระเป๋าแบรนด์เนม ถือกาแฟสตาร์บัคสักแก้ว และในขณะเดียวกันก็เดินฉับๆ เข้าออฟฟิศก่อนจะนั่งไขว่ห้างออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดมั่นใจ
แต่รู้หรือไม่ว่า แนวคิดแบบ ‘หญิงแกร่ง’ นี้ อันที่จริงแล้วเต็มไปคำหลอกลวงและความเป็นพิษที่ไม่ได้สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศแม้แต่น้อย แต่กลับแฝงนัยยะของอะไรบางอย่าง
วลีนี้อันตรายขนาดที่ว่าเมื่อต้นปี 2020 ที่ผ่านมา โฆษณาจาก People Per Hour ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ถูกแบนโดย The Advertising Standards Authority (ASA) เพราะใช้คำว่า ‘Girlboss’ เลยทีเดียว
เหตุผลนั่นเพราะคำโฆษณาดังกล่าวเป็นการเหมารวมทางเพศ (Gender Stereotype) ซึ่งภายหลังบริษัทดังกล่าวออกมายอมรับว่าคำโฆษณาของตนเข้าข่ายเหยียดและด้อยค่าเพศหญิงจริงๆ
จากชีวิตจริงสู่หนังสืออัตชีวประวัติและซีรีส์เน็ตฟลิกซ์ต้นกำเนิดแบบฉบับ ‘Girlboss’
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับหญิงสาวผู้ให้กำเนิดคำว่า ‘Girlboss’ — คุณ Sophia Amoruso นักธุรกิจสาวชาวอเมริกันที่ประสบความสำเร็จจากการขายเสื้อผ้าวินเทจในอีเบย์ตอนอายุเพียง 23
ต่อมาเธอกลายมาเป็นเจ้าของบริษัทเสื้อผ้าออนไลน์ยักษ์ใหญ่ Nasty Gal ซึ่งนิตยสาร Inc. จัดให้เป็นหนึ่งในบริษัทที่เติบโตมากที่สุดในสหรัฐเมื่อปี 2012
หลังจากนั้นโซเฟียได้เขียนหนังสือเล่าเรื่องราวตัวเองชื่อว่า #GIRLBOSS ในปี 2014 หากใครมีโอกาสได้อ่านฉบับแปลไทยคงคุ้นชื่อ ‘เพราะเป็นผู้หญิงไม่แคร์ใคร ฉันถึงได้เป็นนายคน’ ที่ขายดิบขายดีตามแผงหนังสือ และกลายมาเป็นซีรีส์เน็ตฟลิกซ์ที่หลายคนอาจพอผ่านหูผ่านตามาบ้างอย่าง ‘Girlboss’ เมื่อปี 2017
กระแสตีกลับหลังสังคมตื่นรู้ถึงภัยอันตรายจากการผลักดันให้ผู้หญิงฝันจะเป็น ‘หญิงแกร่ง’
มองผ่านๆ แนวคิดแบบ ‘หญิงแกร่ง’ นี้เหมือนจะบอกเราว่า แม้จะเป็นผู้หญิงก็ประสบความสำเร็จได้ เป็นหัวหน้าในองค์กรได้ แม้จะเป็นผู้หญิงก็ชนะได้ในโลกที่ผู้ชายเรืองอำนาจ
แม้จะต้องล้มลุกคลุกคลานบ้าง เพราะรู้กันอยู่ว่าตำแหน่งใหญ่เงินเดือนหลายหลักในโลกนี้ถูกจับจองไว้ให้เพศชาย แต่หากมุ่งมั่นและทะเยอทะยานมากพอ ผู้หญิงก็เป็น ‘เจ้าคนนายคน’ ได้ จนสุดท้ายความสำเร็จนี้จะสามารถรื้อถอนความไม่เท่าเทียมทางเพศได้ในที่สุด
ฟังแล้วจึงไม่น่าแปลกใจหากในช่วงแรกผู้หญิงทั่วโลกจะสุดแสนจะอินและมองแนวคิดนี้เป็นแรงผลักดันให้ตัวเองพยายามมากขึ้นกว่านี้อีก เพราะถ้าไม่สำเร็จก็แปลว่าพยายามไม่มากพอน่ะสิ
แต่เพราะเหตุใด กระแสนี้จึงพลิกผันในโลกตะวันตกช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เมื่อหลายคนวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดนี้มากขึ้นจนกลายเป็นกระแสไวรัลที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ใช้พูดประชดเหน็บแนมความ ‘ปลอม’ ของแนวคิดที่ว่า
คำตอบคือ ต้องทำความเข้าใจว่า ‘Girlboss’ เป็นแนวคิดที่ยังมีข้อบกพร่องอยู่หลายประเด็น เริ่มจากประเด็นภาพจำของหญิงแกร่งนี้มักจะเป็นคนขาว มีต้นทุนชีวิตอยู่ส่วนหนึ่ง ไม่ได้มาจากชนชั้นแรงงาน และตรงเพศ (Cisgender) ทำให้ไม่ครอบคลุมอัตลักษณ์กลุ่มอื่น
ยิ่งไปกว่านั้น หากลองนึกย้อนว่าภาพจำของ ‘Girlboss’ เป็นอะไรได้อีกบ้าง แน่นอนว่าต้อง ‘หน้าตาดี แต่งตัวปัง และหุ่นเป๊ะ’ กลายเป็นอีกปัญหาที่ทำให้หลายคนได้แต่สงสัยว่า หากหญิงแกร่งที่ว่าไม่ตรงตามที่สื่อเสนอภาพ พวกเธอจะได้รับการยกย่องสรรเสริญอยู่ไหม
และประเด็นสำคัญที่สุดคือการไปโฟกัสที่ ‘ตัวบุคคล’ แทนที่จะเป็น ‘โครงสร้างสังคม’ แนวคิดนี้บอกผู้หญิงว่าต้องดิ้นรนให้มากกว่าเดิมเพื่อให้ได้ตำแหน่งสูงๆ ในบริษัท ถ้าไม่สำเร็จก็พยายามให้มากขึ้น ที่จริงจะพูดให้ชัดก็คือให้มากกว่า ‘ผู้ชาย’ นั่นแหละ
กลายเป็นว่าแนวคิดนี้ไปเบี่ยงเบนความสนใจของสังคมจากประเด็นหลักที่ว่า ทำไมเพศหนึ่งจึงต้อง ‘ตะเกียกตะกาย’ โหมงานมากกว่าอีกเพศเพื่อที่จะประสบความสำเร็จ?
สุดท้ายผู้หญิงที่พยายามจนเป็น ‘Girlboss’ มีกี่คน แล้วมีอีกกี่คนที่ยังดิ้นรนเพราะความไม่เท่าเทียมทางเพศและต่อสู้อยู่กับเพดานกระจก (Glass Ceiling) ที่กีดขวางไม่ให้พวกเธอก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
คำคมชีวิตแบบ ‘เริ่มที่ตัวเอง’ กลายมาเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างและความไม่เท่าเทียมทางเพศที่ถูกมองข้าม
ไม่ใช่เพียงในสื่อใหญ่ตามข่าวหรือภาพยนตร์ที่เสนอเรื่องราวแรงบันดาลใจแบบ ‘หญิงแกร่ง’ แต่ในแพลตฟอร์มยอดฮิตอย่าง TikTok หรือ Instagram หลายคนน่าจะเคยเลื่อนฟีดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ที่ปิดท้ายเรื่องราวความสำเร็จด้วยคำพูดขายฝันว่า ‘ขอแค่เชื่อ ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้’
จะเห็นได้ว่า แทนที่สังคมจะตั้งคำถามกับความเหลื่อมล้ำทางเพศในที่ทำงาน ค่าจ้างที่ไม่เท่าเทียม การลาคลอด และการล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงาน ซึ่งล้วนแล้วแต่ชี้ให้เห็นอคติทางเพศที่หยั่งรากลึกในสังคม
แต่กลับเป็นว่าภาระทั้งหมดถูกกองเทรวมมาที่ผู้หญิงด้วยการบอกให้ ‘ดิ้นรน’ ด้วยตัวเองจนกว่าจะประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นไปแทบไม่ได้เลยในโครงสร้างสังคมแบบนี้
หากลองเทียบแล้วคงคล้ายกับการที่ผู้มีอำนาจและมหาเศรษฐีพันล้านบอกกับตาสีตาสาและคนหาเช้ากินค่ำว่าให้ ‘เก็บหอมรอมริบ’ และ ‘ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน’
อย่างกับว่าหากพวกเขาตั้งใจอุตสาหะทำงานไม่มีวันหยุด สักวันจะได้อยู่คอนโดหลักร้อยล้านหรือมีรถหรูหลายคันแบบไฮโซ
ทั้งที่จริงแล้วเรารู้กันดีว่าต้นทุนแรกเริ่มและโอกาสย่อมมีไม่เท่ากันอยู่แล้ว หากสังคมยังเหลื่อมล้ำ จะให้ทำงานไปอีกร้อยปีก็คงไม่รวยล้นฟ้า
ย้อนกลับมาที่เรื่องราวของคุณ Sophia Amoruso สิ่งที่ซีรีส์และหนังสือไม่ได้บอกกับเรานั้นคือความจริงที่ว่า หลังจากนั้นในปี 2016 บริษัท Nasty Gal ถูกกล่าวหาว่าเลือกปฏิบัติต่อพนักงานและ ‘ข่มเหง’ ลูกจ้าง สุดท้ายบริษัทก็ล้มละลาย
ยิ่งไปว่านั้น ล่าสุดในปี 2020 โซเฟียและทีมงานต้องจำใจลาออกจากบริษัท Girlboss Media ของตัวเองเพราะผลประกอบการขาดทุนจากการระบาดของโควิด
หากเข้าใจได้ว่า เราควรตั้งคำถามว่าทำไมประเทศ ‘รวยกระจุก’ จนคนกลุ่ม 1% ถือครองทรัพย์สินรวม 66.9% ของทั้งประเทศ เราคงเข้าใจได้ว่าทำไม ‘Girlboss’ ถึงส่งผลเสียต่อเพศหญิง อย่างที่สถานการณ์หลายปีมานี้บอกกับเรา
เพราะสุดท้ายแล้วความเท่าเทียม ไม่ว่าจะทางเพศ ทางชนชั้น หรือทางสังคม ก็ขับเคลื่อนด้วย ‘โครงสร้างสังคม’ มากกว่า ‘ปัจเจก’ ทั้งหมดทั้งสิ้น
อ้างอิง
- Why We Must Get Rid Of Girlboss Culture For Good
https://r29.co/3jGTTzI - The ‘Girlboss’ and the Myth of Corporate Female Empowerment – The Atlantic
https://bit.ly/3yK8kJe - Is Being a ‘Girl Boss’ a Bad Thing? It’s Complicated
https://bit.ly/3CnI4H7 - The Problem With ‘Girlboss’ Feminism – The Ringer
https://bit.ly/2VGa5sh