FTX & Sam Bankman-Fried
ก่อนจะไปพูดถึงความสัมพันธ์นั้นต้องขออนุญาติเกริ่นเนื้อหาข้อมูลสำคัญหลักๆซึ่งเป็นพื้นฐานของเหตุการณ์นี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจในเรื่องราวทั้งหมดต่อจากนี้ผ่านการเรียบเรียงข้อมูลขอตัวผู้เขียนเองนั้น
เริ่มต้นที่ จาก Cryptocurrency คือสกุลเงินดิจิทัล หรือ สกุลเงินแห่งอนาคต เมื่ออดีตหรือปัจจุบันที่เราใช้กันอยู่นั่นคือธนบัตรหรือเหรียญ ซึ่งสามารถจับต้องได้ (Fiat Currency) เรานำธนบัตรเหล่านั้นไปจับจ่ายใช้สอยกัน ซึ่งมีการคาดการว่าสกุลเงินดิจิตอลจะเป็นเงินในอนาคตของเรา ถ้าเทียบจากสกุลในปัจจุบันของโลกแล้วนั้นอย่าง บาท ดอลลาร์ หยวน ยังมีความกระจายเป็นของใครของมันตามพื้นที่ ไม่ได้ถูกรวมกันเป็นหนึ่งเดียว และบางค่าเงิน เช่น อเมริกาจะเป็นค่าเงินที่เป็นมาตราฐานของการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนน้ำมัน (ดอลลาร์ต่อบาร์เรล) หรือทองคำ (ออนซ์ดอลล่าร์) แม้กระทั้งหลายๆอย่างมักจะอ้างอิงจากดอลลาร์ หรือประเทศไทยเองก็ยังอ้างอิงค่าเงินบาทกับดอลลาร์เช่นเดียวกัน การซื้อของยังเป็นการใช้สกุล USD Dollar หรือใช้หยวนเป็นส่วนใหญ่ สิ่งเหล่านี้หากมองอีกอย่าง ก็เปรียบเหมือนกับการผูกขาด จึงมีการคิดค้นขึ้นว่า หากสถานการณ์มีโอกาสเป็นเช่นนั้นเราควรมีสกุลเงินที่เป็นแบบดิจิทัล และการใช้จะต้องเป็นแบบ decentralised ( การกระจายอยู่ในทุกๆที่ ทุกคนสามารถที่จะเข้าถึงมันได้) และในปัจจุบันคนส่วนใหญ่เข้าถึงเทคโนโลยีได้มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการโอนเงิน พร้อมพ์เพย์ หรือสแกนจ่ายด้วย QR code จะสังเกตได้ว่าสิ่งใหม่ๆที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้คนเข้าถึงสกุลเงินทางดิจิทัลได้มากขึ้น
Credit : Cryptocurrency คืออะไร? https://www.finnomena.com/planet46/what-is-cryptocurrency/
บทบาทสำคัญของ Cryptocurrency นั่นคือ เนื่องจากปัจจุบันประเทศสหรัฐอเมริกา ผลิตเงินดอลลาร์สหรัฐออกมาอย่างไม่จำกัด (Unlimited QE) เป็นสาเหตุที่ทำให้เมื่อไหร่ที่มีเงินในระบบมากขึ้นจะทำให้เกิดเงินเฟ้อ ทีนี้สกุลเงินดิจิทัลหรือ Cryptocurrency บางเหรียญถูกเขียน Algorithm ไว้ให้มีจำนวนจำกัดซึ่งจะทำให้หนีเงินเฟ้อได้ตามหลัก Demand = Supply
ซึ่ง Cryptocurrency ตัวแรกของโลกมีชื่อว่า Bitcoin ถือกำเนิดครั้งแรกในปี 2009 โดยผู้ที่ใช้นามแฝงว่า ซาโตชิ นากาโมโต ณ เวลาที่ Bitcoin ถือกำเนิดครั้งแรกนั้นยังไม่มีมูลค่าแต่อย่างใด จนกระทั้งในปี 2010 ความนิยมของ Bitcoin พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ราคา Bitcoin ก้าวกระโดดจาก 0$ เป็น 0.39$ และปัจจุบันมูลค่าของ 1 Bitcoin อยู่ที่ 37000$
หากเปรียบเทียบโดยใช้ Bitcoin ได้มีการจำลองภาพ Bitcoin ให้เหมือนกับทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่หายาก ก้อนทองคำหากเราจะอยากได้มาครอบครอง ต้องดูที่กระบวนการตั้งต้นคือการขุดหาจากตามเหมือง ขุดดินลึกลงไปเพื่อจะหาทองคำ หรือนำเศษดินเศษหินเพื่อมาร่อนให้ได้ทอง จากนั้นเอาทองไปแปรรูป แปรรูปเสร็จถึงจะเอามาหลอมรวมกันแล้วจำหน่าย ความยากของการหาทองคำนั้นคือ เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าพื้นที่ตรงไหนมีทองอยู่บ้าง Bitcoin เองก็ใช้หลักการนี้ นั่นคือเราต้องขุดต้องตามหาเหรียญเอง แต่จะตามหาได้จากที่ไหนในระบบดิจิทัลเป็นเรื่องที่ยากและซับซ้อนมาก เนื่องจากว่าเป็นระบบดิจิทัล Bitcoin ที่เปรียบเสมือนทองคำเหล่านี้ก็จะกระจายอยู่ตามแหล่งของระบบดิจิทัล ซึ่งระบบดิจิทัลจะมีสิ่งที่เรียกว่า Master-node ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของแต่ละ blockchain (มีหลายๆจุดที่เป็นจุดหลักๆ) เหรียญเหล่านี้จะถูกเก็บไว้ในที่ที่หนึ่งเรียกว่า blockchain และ blockchain ก็จะต่อๆๆกัน การต่อกันเป็น chain ตรงนั้นจะใช้วิธีการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่มีความยากซับซ้อนและต้องใช้ความรวดเร็ว ใครที่แก้สมการ blockchain ได้เป็นคนแรกก็จะได้รับ Bitcoin ที่บรรจุใน blockchain ก้อนนั้นไป
** สมมติว่าเรามีตู้รถไฟซึ่งเป็นโบกี้ที่ต่อกัน และในแต่ละโบกี้เราเก็บทองเอาไว้ ใครที่สามารถปลดกุญแจโบกี้นั้นได้ก็จะได้รับทองคำออกไป และโบกี้โดยสารพวกนั้นมาเรียงต่อกันเราเรียกว่า blockchain
Blockchain คือ วิธีการจัดเก็บข้อมูลรูปแบบหนึ่ง ที่กล่องข้อมูลหนึ่งจะถูกต่อด้วยกล่องข้อมูลถัดๆไป ไปเรื่อยๆ block เสร็จแล้ว เอามา chain ต่อๆกันไปเรื่อยๆ เช่น block แรก คือ block 1 ถัดไปคือ block 2 หากอยากจะกลับไปแก้จาก block 1 เปลี่ยนเป็น block A เราต้องแก้ย้อนไปตั้งแต่ block 2 แล้วถึงจะแก้ block 1 ได้ นั่นหมายความว่ามันมีการ validation หรือว่าการตรวจสอบได้ Tests ability ตรวจสอบย้อนกลับได้ เพราะฉะนั้นความปลอดภัยนั่นค่อนข้างสูง การจะเปลี่ยนตัวใดตัวหนึ่งนั้น จะต้องเปลี่ยนทั้ง Chain ต้องอาศัยการยอมรับทั้ง Chain เพราะฉะนั้นจะไม่สามารถเปลี่ยนข้อมูลใดข้อมูลหนึ่งได้หากทุก Chain ที่เกี่ยวข้องไม่ทำการ approved
ผู้ริเริ่มจึงได้ให้ข้อมูลที่อยู่ในแต่ละ blockchain เป็น bitcoin แล้วทีนี้เราก็จะรู้ได้ว่าใครต่อกันบ้าง เพราะฉะนั้นการที่เราจะมาโกง bitcoin เหมือนเงินในบัญชีนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะ bitcoin ถูกเก็บใน blockchain การจะแก้ blockchain จะต้องขอแก้ทั้งหมดจึงเป็นความปลอดภัยที่คิดขึ้นมา และกฎทางคณิตศาสตร์ระดับสูงที่เป็นตัวครอบ blockchain ไว้ ใครที่สามารถแก้สมการได้ก่อน ก็จะมีอำนาจเปิดกล่องนั้นซึ่งในปัจจุบันสมการทางคณิตศาสตร์เหล่านี้ มีความยากขึ้นเรื่อยๆตามเวลาที่มากขึ้นและจำนวน bitcoin ที่น้อยลง
การที่เกิด Crypto mining (เหมืองขุด = การ์ดจอเยอะๆมาต่อกัน) นั้นหลักการคือเมื่อเรามีคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง เราจะมี CPU ที่ทำหน้าที่ในกาประมวลผล แต่มันไม่ได้เร็วเท่ากับอีกสิ่งหนึ่งที่เราเรียกว่า GPU (การ์ดจอ) การ์ดจอถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้มาทำเรื่องของคณิตศาสตร์ Render ภาพที่เรารู้จักกัน เวลาเรา Render ภาพใช้โฟโต้ช้อปหรืออะไรก็ตามจริงนั่นคือการคำนวณทางคณิตศาสตร์ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าเราใช้การ์ดจอมาเป็นหน่วยประมวลผล และเมื่อทำการนำการ์ดจอมาเรียงต่อกันเป็นจำนวนมาก จะทำให้เราแก้ไขปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้ไวขึ้น ซึ่งตามที่กล่าวไว้นั้นโจทย์คณิตศาสตร์เหล่านี้นจะแปรผันตามเวลา การที่จะโกงในการแก้สมการนั้นตีได้ว่าเป็นไปไม่ได้ จึงเป็นที่มาว่าทำไมจะต้องขุดและมีเหมือง bitcoin และตามที่ทราบว่าคนที่ขุดได้คนแรกจะได้ bitcoin ไป ปัจจุบันนี้จึงมีการรวมกลุ่มกันเรียกว่า Pool คือการรวมการ์ดจอของหลายๆคนมาช่วยกันขุดถ้าขุดแล้วได้บิทคอยน์มาก็นำมาหารกัน หารให้ตามกำลังการขุดของแต่ละคน (คล้ายๆหุ้น ใครลงการ์ดจอเยอะก็ได้กลับไปเยอะ) และยิ่งขุดได้ยิ่งเหลือน้อยความต้องการจะครอบครองยิ่งมากขึ้นตามกฎ demand = supply
บิดคอยน์มีจำนวนอยู่ที่ 21,000,000 เหรียญ ซึ่งปัจจุบันปล่อยออกมาแล้ว 19,000,000 เหรียญ สิ่งที่ทำคือทุกๆ 4 ปี จำนวนเหรียญจะถูก halving ( เช่น จากมีการปล่อยเพชรสีน้ำตาลปีละ 100เม็ด สี่ปีผ่าสไป เหลือปล่อยปีละ 50 เม็ด สี่ปีถัดไป 25 เม็ด สี่ปีถัดไป 12.5 เม็ด … 6.25 เม็ด … 3.125 เม็ด … 1.5 เม็ด ยิ่งนานไปการปล่อยเพชรสีน้ำตาลออกมายิ่งน้อยลง การตามหายากขึ้น ทำให้มูลค่าเพชรสีน้ำตาลเพิ่มสูงขึ้นตามเวลา ตามกฎ demand = supply ของเศรษฐศาสตร์ ) เพราะฉะนั้นยิ่งเวลาผ่านไปการขุดจะยากขึ้น เป็นการส่งเสริมให้ บิทคอยน์กว่าจะครบ 21 ล้านเหรียญนั้นใช้เวลานานมาก และทำให้มูลค่ามันเยอะขึ้น
Credit : Crypto https://www.youtube.com/watch?v=vlah8P1JRHk
ข้อดีที่น่าสนใจของ Cryptocurrency นั่นคือความปลอดภัยเนื่องจากตัดตัวกลางในนการแลกเปลี่ยนโดยจากปกติที่เราจะโอนเงินจะมีธนาคารที่เป็นตัวกลาง ทำให้ความปลอดภัยกับเงินของเรายังไม่ได้ปลอดภัย 100% เต็ม แต่ถ้าเทียบกับระบบ Blockchain ที่อยู่ใน Cryptocurrency ซึ่งทำการตัดตัวกลางออกไป ทำให้ความปลอดภัยสูงมากกว่า อีกอย่างนั่นคือค่าธรรมเนียมมในการโอนที่ต่ำมาก เป็นเพราะว่าไม่มีค่าตัวกลาง(เช่น ค่าธรรมเนียมธนาคารต่างๆ) และข้อดีอีกอย่างนั่นคือ Cryptocurrency สามารถลงทุนได้ เนื่องจากการเติบโตของ Cryptocurrency เราสามารถที่จะนำเงินเข้าไปถือ Coin ต่างๆได้จึงเป็นช่องทางในการที่ เรามีโอกาสเข้ามาลงทุนหรือว่าอาจจะทำให้ผู้ลงทุนได้กำไรจากการที่มูลค่าของเหรียญขึ้นลงตามหลักเศรษฐศาสตร์
ในเรื่องของเหตุการ์ความสัมพันธ์ระหว่าง FTX และ Sam Bankman-Fried เริ่มจาก FTX ก่อตั้งในปี 2019 โดย Sam Bankman-Fried อดีตนักเทรดแห่งวอลสตรีท โดยในส่วนของ FTX มีทั้งบริการซื้อขาย Cryptocurrency ไปจนถึงเป็นตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เรียกได้ว่าเป็นตลาดหลักทรัพย์ขนาดย่อมสำหรับนักเทรดสาย Crypto เลยก็ว่าได้ FTX ถือเป็นหนึ่งใน Exchange ที่มีนนักลงทุนจานทั่วโลก เข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก
ในเดือน ก.พ. ปี 2022 ประเมินมูลค่าของ FTX มีมูลค่าสูงมากถึง ราวๆ 32,000 ล้านดอลลาร์ จากการเพิ่มทุน ซึ่งก็มีนักลงทุนโปรไฟล์ระดับสูงอันดับต้น ๆ ของโลกเข้าร่วมลงทุนด้วย เช่น Temasek กองทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ และ Softbank นักลงทุนรายใหญ่จากญี่ปุ่น นอกจากนี้ FTX ยังเข้าเป็นสปอนเซอร์รายการแข่ง F1 อย่าง Mercedes และยังใช้นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลชื่อดังเข้ามาร่วมเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาอีกด้วย
Credit : FTX https://zipmex.com/th/learn/reasons-to-buy-ftx-ftt/
ในช่วงเวลาที่ Cryptocurrency เป็นที่ได้รับความนิยมและยอมรับด้วยความโลภและคาดว่าน่าจะเป็นช่องทางในการรทำเงิน SAM ได้ทำการนำเงินลงทุนของนักลงทุนไปปล่อยกู้ ซึ่งการทำสิ่งนี้เท่ากับนำเงินที่เป็นเงินหลังบ้านหรือเงินสำหรับใช้เพื่อให้เกิดสภาพคล่องออกไปใช้ และผลไม่เป็นดังที่คาดหวัง เกิดวิกฤตขึ้นหลายอย่าง รวมหนึ่งในนั้นคือสถานการณ์โควิท ทำให้คนไม่มันใจในระบบ Cryptocurrency จึงทำการแห่ถอนเงินออกอย่างรวดเร็ว เมื่อคนแห่ถอนเงิน FTX ไม่มีเงินจ่ายคืนจึงเป็นผลให้เกิดวิกฤตการณ์นี้ขึ้น เมื่อนำ Situation มาเรียงเป็นไทม์ไลน์จะได้ดังนี้
ในปี 2022
27 JAN : กลุ่ม FTX ในสหรัฐฯ ประเมินมูลค่าไว้ที่ 8 พันล้านดอลลาร์ หลังจากระดมทุนได้ 400 ล้านดอลลาร์ในการระดมทุนรอบแรกจากนักลงทุน รวมถึง SoftBank Group และ Temasek
31 JAN : FTX ระดมทุน 400 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุน รวมถึง SoftBank ด้วยมูลค่าประเมิน 32 พันล้านดอลลาร์
4 JUNE : FTX ลงนามในสิทธิ์ในการตั้งชื่อสนามเหย้าของทีมบาสเกตบอล Miami Heat ในข้อตกลงที่รายงานว่ามีมูลค่า 135 ล้านเหรียญ
1 JULY : FTX ลงนามข้อตกลงพร้อมตัวเลือกในการซื้อ BlockFi ผู้ให้กู้ crypto ในราคาสูงถึง 240 ล้านดอลลาร์
22 JULY : FTX เสนอความช่วยเหลือบางส่วนแก่ผู้ให้กู้ crypto ที่ล้มละลาย Voyager Digital เรียกมันว่า ” low-ball bid”
19 AUG: หน่วยงานกำกับดูแลธนาคารของสหรัฐฯ สั่งให้ FTX หยุดการกล่าวอ้างที่ “เป็นเท็จและทำให้เข้าใจผิด” ที่ตนได้กล่าวหาว่ากองทุนในบริษัทได้รับการประกันโดยรัฐบาล
2 NOV : เว็บไซต์ข่าว Crypto CoinDesk รายงานงบดุลที่รั่วไหลออกมาซึ่งแสดงให้เห็นว่า Alameda Research ซึ่งเป็นบริษัทการค้า crypto ของ Bankman-Fried ขึ้นอยู่กับโทเค็นดั้งเดิมของ FTX อย่าง FTT สำนักข่าวรอยเตอร์ไม่สามารถตรวจสอบรายงานได้
6 NOV : Changpeng Zhao ซีอีโอของ Binance กล่าวว่าบริษัทของเขาวางแผนที่จะเลิกกิจการการถือครอง FTT เนื่องจาก “การเปิดเผยล่าสุด” ที่ไม่ระบุรายละเอียด
7 NOV : Bankman-Fried กล่าวว่า “FTX is fine. Assets are fine” ประมาณณว่า FTX ปกติดี
8 NOV : Binance กล่าวว่ากำลังวางแผนข้อตกลงเพื่อซื้อ FTX
9 NOV : Binance ตัดสินใจที่จะไม่ดำเนินการช่วยเหลือ FTX
10 NOV : FTX ระงับการเริ่มต้นใช้งานลูกค้าใหม่และการถอนเงินจนกว่าจะมีประกาศเพิ่มเติม Bankman-Fried บอกพนักงานในบันทึกว่าเขากำลังดิ้นรนเพื่อระดมทุน และได้พูดคุยกับ Justin Sun ผู้ก่อตั้ง Token crypto Tron
11 NOV : FTX เริ่มการพิจารณาคดีตามบทที่ 11 โดยสมัครใจในสหรัฐอเมริกา พร้อมด้วยหน่วยงานในสหรัฐอเมริกา บริษัทการค้า crypto Alameda Research และบริษัทในเครืออื่นๆ เกือบ 130 แห่ง แบงค์แมน-ฟรีด ลาออกจากซีอีโอ
12 NOV : Reuters รายงานว่าเงินทุนของลูกค้าอย่างน้อย 1 พันล้านดอลลาร์หายไปจาก FTX การแลกเปลี่ยนกล่าวว่าตรวจพบธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาต บริษัทวิเคราะห์บล็อคเชนประเมินการไหลออกระหว่าง 473 ล้านดอลลาร์ถึง 659 ล้านดอลลาร์ใน “สถานการณ์ที่น่าสงสัย”
13 NOV : หน่วยงานกำกับดูแลหลักทรัพย์ของบาฮามาสเริ่มสอบสวนเรื่องการล่มสลายของ FTX ซึ่งมีฐานอยู่ในประเทศแถบแคริบเบียน
15 NOV : หน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินในบาฮามาสแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีเพื่อดำเนินการหน่วยของ FTX ในประเทศ
16 NOV : FTX สรุป “วิกฤตสภาพคล่องขั้นรุนแรง” ในการยื่นฟ้องล้มละลายของสหรัฐฯ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากลุ่มอาจมีเจ้าหนี้มากกว่า 1 ล้านคนการยื่นฟ้องของศาลแสดงให้เห็นว่า FTX Digital Markets ซึ่งเป็นหน่วยงานในบาฮามาสของ FTX กำลังขอความคุ้มครองจากเจ้าหนี้ในสหรัฐอเมริกาภายใต้บทที่ 15 ของประมวลกฎหมายล้มละลายของสหรัฐอเมริกา Bankman-Fried ถูกฟ้องในศาลสหรัฐฯ โดยนักลงทุนกล่าวหาว่าบัญชี crypto ที่มีผลตอบแทนของบริษัทละเมิดกฎหมายฟลอริดา ผู้ชำระบัญชีสำหรับ FTX Digital Markets “ปฏิเสธความถูกต้อง” ของการดำเนินคดีล้มละลายในสหรัฐฯ ของ FTX ผู้เล่น crypto รายใหญ่ Genesis Global Capital ระงับการไถ่ถอนลูกค้าในธุรกิจการให้กู้ยืม โดยอ้างถึงความล้มเหลวอย่างกะทันหันของ FTX
17 NOV : คณะกรรมการบริการทางการเงินของสภาผู้แทนราษฎรกล่าวว่ามีแผนที่จะจัดการพิจารณาคดีในเดือนธันวาคมเพื่อตรวจสอบการล่มสลายของ FTX
30 NOV : Bankman-Fried กล่าวในการให้สัมภาษณ์ที่ New York Times Dealbook Summit ว่า “เขาไม่เคยพยายามที่จะกระทำการฉ้อโกงเลย”
12 DEC : ตำรวจจับกุม Bankman-Fried ในบาฮามาส โดยคาดว่าสหรัฐฯ จะยื่นส่งผู้ร้ายข้ามแดน ทางการสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อกล่าวหาที่อาจเกิดขึ้น แต่หนังสือพิมพ์ New York Times รายงานว่าข้อกล่าวหาต่างๆ รวมถึงการฉ้อโกงทางสาย การสมรู้ร่วมคิดในการฉ้อโกงทางสาย การฉ้อโกงหลักทรัพย์ การสมรู้ร่วมคิดในการฉ้อโกงหลักทรัพย์ และการฟอกเงิน
งานเขียนนี้ เป็นส่วนหนึ่งของวิชา 751737 Economic of DeFi (Decentralized Finance)
ซึ่งสอนโดย ผศ.ดร.ณพล หงสกุลวสุคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
งานชิ้นนี้ เขียนโดย ณัฐพัชร์ จิวตระกูลวงศ์ รหัสนักศึกษา 661632003