วันที่ 14 กุมภาพันธ์ในความหมายโดยทั่วไปแล้วคือวันวาเลนไทน์ หรือวันที่ผู้คนต่างแสดงออกซึ่งความรักให้แก่กัน แต่สำหรับคนในแวดวงอนุรักษ์สัตว์ป่าของไทย วันนี้ในอดีตเปรียบได้กับวันแห่งความโศกาอาดูรเสียมากกว่า
เพราะมันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ ‘พญาแร้ง’ ฝูงสุดท้ายของประเทศ ‘สูญพันธุ์’ จากธรรมชาติไปในที่สุด
แร้งในประเทศไทย
แต่เดิมนานมาก่อนยุคสมัยที่สภาพแวดล้อมถูกเปลี่ยนเป็นสิ่งศิวิไลซ์ และก่อนวันแห่งความรักจะกลายเป็นวันโศก ประเทศไทยมีแร้งอยู่ด้วยกัน 5 สายพันธุ์ บินร่อนด้วยปีกใหญ่ยักษ์อยู่ทั่วฟ้า
เป็นแร้งถิ่นเดิมที่เกิดและเติบโตในประเทศ 3 สายพันธุ์ (พญาแร้ง แร้งเทาหลังขาว แร้งสีน้ำตาล) และเป็นพวกอพยพบินไปมาข้ามประเทศอีก 2 สายพันธุ์ (แร้งสีน้ำตาลหิมาลัย และแร้งดำหิมาลัย)
โดยธรรมชาติ แร้งเป็นนกนักกินซาก ที่ไหนมีซากที่นั่นจะต้องมีแร้ง ดังเช่นตำนาน ‘แร้งวัดสระเกศ’ อันว่าด้วยการระบาดของโรคห่าครั้งใหญ่ทำคนตายเป็นเบือจนจัดการศพไม่ทัน สุดท้ายได้แต่ปล่อยให้กลายเป็นอาหารของแร้ง ที่เวลานั้นระบุว่าอยู่มีนับพันตัว
ด้วยความที่ว่าที่ไหนมีแร้งแล้วต้องมีศพ (ไม่ว่าคนหรือสัตว์) จึงเป็นเหตุใดแร้งถูกมองในด้านไม่ดี เป็นสัญลักษณ์ทางอัปมงคล ยิ่งบวกกับรูปร่างหน้าตาที่ไม่สวยใสเหมือนอย่างนกแก้วหรือนกหงส์หยก ก็ไม่แปลกที่อดีตเราจะมองแร้งราวกับเป็นสัตว์ร้าย ด้อยค่า และไม่เห็นความสำคัญของพวกมัน
แต่ในความเป็นจริง บนฐานข้อมูลวิชาการที่ถูกบ่มเพาะต่อมา การกินซากของแร้งหมายถึงการจัดการสภาพแวดล้อมที่กำลังจะเน่าเหม็นให้ปลอดโรคภัย ลดการเพาะเชื้อที่เป็นผลเสียต่อสุขภาพคนและสัตว์อื่นๆ เพราะน้ำย่อยของแร้งจะมีความเป็นกรดสูง ต้านทานได้ทั้งโรคพิษสุนัขบ้า อหิวาตกโรค และแอนแทรกซ์
แร้งสูญพันธุ์เพราะอะไร
ไม่ว่าน้ำย่อยจะมีความแข็งแกร่งแค่ไหน สุดท้าย ‘เทศบาลประจำผืนป่า’ ก็ต้องวอดวายด้วยฤทธิ์สารเคมีที่มนุษย์สร้าง
แต่ก่อนจะถึงตรงนั้น ต้องเกริ่นอีกสักนิดว่าการสูญพันธุ์ของแร้งเริ่มต้นเช่นเดียวกับสัตว์ป่าอื่นๆ ชีวิตของสายพันธุ์นี้ค่อยๆ หายไปเมื่อป่าลดลงพร้อมกับจำนวนของซากที่น้อยลงตามจำนวนของสัตว์ป่าที่เหลืออยู่ บวกกับที่คนเราเริ่มเรียนรู้ที่จะจัดการกับซากศพ ซากสัตว์ แหล่งเพาะเชื้อโรคแทนแร้ง แร้งที่ขาดอาหารจนไร้เรี่ยวแรงก็ค่อยๆ ล้มหายตายจากไปเรื่อยๆ
มีบันทึกว่าในปี 2535 มีแร้งเหลืออยู่ราวๆ 30 ตัว และพวกมันไม่เคยบินห่างไปไกลจากป่าห้วยขาแข้ง เพราะรู้ดีว่านอกป่าผืนนี้การหาอาหารช่างเป็นเรื่องยากเย็นเสียเหลือเกิน
กระทั่งวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2535 พงศกร พัฒพงษ์ นักวิชาการป่าไม้ ได้ทำการสำรวจป่าจนพบแร้งฝูงสุดท้ายที่ว่า กำลังลงกินซากเก้งที่พอดูก็รู้ว่าไม่ได้ตายเพราะสาเหตุธรรมชาติ เพราะร่างกายถูกหั่นไว้เป็นท่อนๆ
นอกจากนี้ ยังสังเกตเห็นว่าร่างกายของเก้งมีรอยปรุจากการถูกของมีคมทิ่มแทง ก่อนจะทราบภายหลังว่าเป็นการทำเพื่อหยอด ‘ฟูราดาน’ ยากำจัดแมลงและปลวกในพืชไร่ ที่นิยมใช้กันในสมัยนั้น
ตามบันทึกอ้างว่า ซากเก้งที่ใส่ยาเบื่อ ทำไว้เพื่อเอาชีวิตเสือโคร่ง โดยหวังให้สัตว์เจ้าป่าตายเพราะพิษแทนการล่าด้วยอาวุธ ที่จะทำให้หนังของเสือมีตำหนิเสียราคา แต่ก็กลายเป็นแร้งที่ตาไว เห็นเหยื่อและร่อนมาพบกับจุดจบแทน
ปิดฉากชีวิตสัตว์กินซากแห่งเวหากลุ่มสุดท้ายไปในที่สุด
ความหวังนำแร้งคืนสู่ป่า
แม้แร้งจะสูญพันธุ์ไปแล้วจากป่าของไทย แต่ปัจจุบันเรายังสามารถหาชมพญาแร้ง ได้ที่สวนสัตว์นครราชสีมา ซึ่งมีแร้งอยู่ด้วยกัน 4 ตัว และที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าห้วยขาแข้งอีก 1 ตัว ได้มาจากนำแร้งอพยพที่พลัดหลงจวนเจียนจะไม่รอดมาดูแลฟูมฟักชีวิตต่อ
และจากบทเรียนในอดีตที่เราอนุรักษ์แร้งไม่สำเร็จ ตอนนี้หน่วยงานภาครัฐและเอกชน กำลังร่วมมือกันเพาะเลี้ยงแร้งที่เหลืออยู่ให้เพิ่มจำนวนขึ้นอีกครั้ง โดยหวังว่าในที่สุดจะสามารถปล่อยให้สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์นี้ได้กลับไปใช้ชีวิตกลางผืนป่าอีกครั้ง
สำหรับเรื่องราวงานฟื้นฟูแร้งให้กลับคืนสู่ป่าได้อีกครั้ง สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โครงการ “การฟื้นฟูประชากรพญาแร้งในถิ่นอาศัยของประเทศไทย”
อ้างอิง
- มูลนิธิสืบนาคะเสถียร. ‘พญาแร้ง’ เทศบาลประจำผืนป่า: สัตว์แห่งความหวังกับปฐมบทแห่งการฟื้นฟูคืนสู่ธรรมชาติ. https://bit.ly/3BeUT68
- National Geographic. แร้ง: วายร้ายแสนดี. https://bit.ly/34NVAqW
- นิตยสาร Advanced Thailand Geographic. เรื่อง แร้งไทยในวิกฤต