Select Paragraph To Read
- แล้ว ‘FU*K’ มาจากไหน?
- ทำไม ‘FU*K’ ถึงเป็นคำหยาบ
- จากหลักฐานข้างต้นเป็นข้อยืนยันว่าในตอนนั้น FU*K ไม่ได้เป็นคำหยาบคายอะไร
ถ้าหากเราพูดถึงคำด่าที่แพร่หลาย กว้างขวาง และเอาไปใช้ได้ในหลายบริบทมากที่สุดในโลก คงไม่มีคำไหนเกินกว่า “FU*K” ในภาษาอังกฤษ เพราะมันใช้แสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยว โมโห ผิดหวัง ตลก เป็นคำขยาย เป็นคำถาม และยังเป็นคำกริยาได้อีกด้วย
วันนี้ LOCALRY จะอยากพาคุณย้อนไปดูที่มาของคำว่า “FU*K” กัน

| ctfassets
เรื่องสนุกของคำว่า FU*K
เรื่องเล่าที่เป็นที่นิยมมากที่สุดเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับคำว่า “FU*K” คือมันเป็นคำย่อที่สามารถย้อนไปได้ถึงช่วงยุคกลาง ยุคนั้นในเกาะอังกฤษ การแต่งงานต้องมีการรับรองโดยกษัตริย์ ดังนั้นการที่จะมี ‘เพศสัมพันธ์’ กันจะต้องมีการแต่งงานที่กษัตริย์รับรู้ก่อน จึงมีประกาศคล้ายๆ กับทะเบียนสมรสว่า “มีประเวณีภายใต้การเห็นชอบของกษัตริย์” หรือ “Fornicate Under Consent of the King” ที่ย่อลงมาเป็นคำว่า F.U.C.K นั่นเอง
นี่เป็นเรื่องเล่าที่มีสีสันที่สุดเรื่องหนึ่ง และเป็นที่มาของ FU*K ที่คนนิยมเล่าต่อๆ กันมา เพราะสนุกกว่าเรื่องอื่น แต่อย่างที่เราทราบกันดีว่าเรื่องเล่าที่มีสีสันขนาดนี้มักเป็นเรื่องแต่ง และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

| cdn
แล้ว ‘FU*K’ มาจากไหน?
เรื่องนี้นักภาษาศาสตร์ได้ออกมายืนยันว่า ‘FU*K’ ไม่ใช่คำในภาษาแองโกล-แซกซัน (Anglo-Saxon) หรือภาษาของชนพื้นเมืองเกาะอังกฤษที่อพยพมาอยู่ก่อน ซึ่งคำหยาบหลายๆ คำมีที่มาจากภาษาพื้นเมือง เช่น Sh*t เป็นต้น แต่คำว่า FU*K มีแนวโน้มว่าจะเป็นภาษาจากชนเผ่าเจอร์แมนิก (Germanic) ที่เป็นรากของภาษาเยอรมัน และภาษาดัชต์ ในช่วงยุคกลาง
โดยที่มาของมันไม่ได้มีความหมายอะไรเกี่ยวกับการร่วมเพศเลย เพราะมันแปลว่าการตี หวด หรือฟาด… (แต่ก็อาจจะไม่ได้ผิดความหมายไปไกลขนาดนั้น)
ซึ่งก่อนหน้านี้ FU*K ไม่ได้ถูกใช้ในการสื่อสารมากนักในภาษาอังกฤษ แต่เราสามารถเห็นคำนี้ปรากฏอยู่ในชื่อหรือนามสกุลของคนทั่วๆ ไป (ย้ำอีกที ตอนนั้นคำว่า FU*K ยังไม่ได้มีความหมายว่าร่วมเพศ)
จนกระทั่งในศตวรรษที่ 14 ที่มันถูกใช้ความหมายว่าเป็นการร่วมเพศ แม้ว่าเราจะไม่รู้ที่มาอย่างชัดเจนว่ามันกลายเป็นการร่วมเพศได้ยังไง แต่เชื่อว่าน่าจะมาจากแสดงที่เชื่อมโยงในกริยา

| miro.medium
ทำไม ‘FU*K’ ถึงเป็นคำหยาบ
หลังจากนั้นอีกหลายร้อยปี ช่วงศตวรรษที่ 16 คำว่า ‘FU*K’ ก็เป็นคำอธิบายการร่วมเพศที่แพร่หลาย และถูกใช้ทั่วๆ ไป ไม่ได้เป็นคำต้องห้ามหรือว่าหยาบโลนอะไรเหมือนในปัจจุบัน
บันทึกในปี 1528 ระบุว่าพระใช้คำคำนี้ในการแสดงความโกรธเกรี้ยวของตัวเอง และปรากฏ FU*K อยู่ในดิกชันนารีของปี 1598 โดย John Florio ที่แปลภาษาอิตาเลียน-อังกฤษ โดยแปลคำว่า fottere ที่หมายถึง การมีเพศสัมพันธ์ในภาษาอิตาเลี่ยน
จากหลักฐานข้างต้นเป็นข้อยืนยันว่าในตอนนั้น FU*K ไม่ได้เป็นคำหยาบคายอะไร
อันที่จริง FU*K เพิ่งมากลายเป็นคำหยาบที่ต้องถูกแบนเมื่อช่วงกลางศตวรรษที่ 19 นี้เท่านั้นเอง เช่นเดียวกันกับคำหยาบอื่นๆ ไม่ว่าจะภาษาอังกฤษหรือภาษาไทยเอง คำหยาบทุกๆ คำก็เคยเป็นคำธรรมดาที่ใช้กันได้ทั่วไป แต่เมื่อวันหนึ่งสังคมบอกว่าคำนั้นเป็นคำไม่สุภาพและไม่พึงประสงค์ คำธรรมดาก็กลายเป็นคำหยาบไปซะอย่างนั้น
อ้างอิง:
- Netflix. The History of swear words ep.1 FUCK
- huffpost . A F*cking Short History of the F-Word. https://bit.ly/3o7P2HQ