วิวัฒนาการหนังโป๊ไทย กับ ‘เฮียกังฟู’ วงการที่อดีตไม่ยอมรับ ส่วนปัจจุบัน…ก็เหมือนเดิม
Select Paragraph To Read
- การเดินทางของเลิฟซีนสู่เรท X
- อุตสาหกรรม ‘ก๊อป’ หนังโป๊
- สังคมไทยกับ ‘หนังโป๊’ เป็นยังไงใน 30 ปีที่ผ่านมา
เชื่อว่าคนไทยไม่น้อยที่รู้จักมักคุ้นกับชื่อ ‘เฮียกังฟู’ หรือ ชูชาติ ธนมงคลชัย เจ้าพ่อหนังสือโป๊ในอดีต ผู้ให้กำเนิดนิตยสารไทยเพลย์บอย เรียกได้ว่าเป็นตำนานเรื่องสยิวที่ชายไทยอายุ 40 ปีขึ้นไปรู้จักกันแทบทุกคน แต่นอนจากในวงการสิ่งพิมพ์แล้วเฮียกังฟูได้ฝาก ‘หนังโป๊’ ไว้ให้กับเมืองไทยเป็นกลุ่มแรกๆ อีกด้วย
BrandThink จึงชวนหนึ่งในผู้บุกเบิกวงการหนังโป๊ไทย (ที่ไม่ได้มีมากมาย) ชวนคุยถึงวิวัฒนาการการเริ่มต้นของภาพยนตร์เอ็กซ์ เซ็กซ์ และวาบหวิวตั้งแต่จุดเริ่มต้นกัน
การเดินทางของเลิฟซีนสู่เรท X
“เมื่อก่อนผู้หญิงไทยนี่เซ็กซี่คือแค่ผ้าถุงอาบน้ำเทียนอบ แค่นั้นเองมันก็เซ็กซี่แล้ว ถูสบู่เหนือเข่ามันก็เซ็กซี่แล้ว เพราะสมัยก่อนใส่ผ้าถุงเลยเข่าก็นับว่าโป๊”
เฮียกังฟูย้อนรอยอดีตเมื่อ 40-50 ปีก่อน ที่แม้ว่าเรื่องเพศจะเป็นสิ่งที่พูดและแอบๆ กันมาตั้งแต่โบราณแบบที่ไม่สามารถหาจุดเริ่มต้นได้ เพราะธรรมชาติของมนุษย์ย่อมต้องการเซ็กซ์และมีความต้องการตามธรรมชาติ เพียงแต่ว่าในเมืองไทยไม่ได้มีการเปิดให้เห็นกันจะๆ ตา ในขณะที่ต่างประเทศเริ่มมีหนัง 8-16 มิลวาบหวิว ของไทยยังเป็นเรื่องที่ไม่ควรพูดถึง
แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มี
สำหรับวงการภาพเคลื่อนไหว สมัยที่การดูภาพยนตร์ต้องไปที่โรงเท่านั้น ในเยาวราชและโรงเล็กๆ อีกหลายแห่งก็มีการแอบลักลอบเอาหนัง 16 มิลจากต่างประเทศเข้ามาฉายให้คนดูกัน แม้ว่าจะสั้นนิดเดียว แต่อย่างน้อยก็ได้ดูและเปิดเผยกันอย่างโจ๋งครึ่มมากทีเดียว เพราะยังไม่มีการตรวจที่เข้มงวดเหมือนในปัจจุบัน
“หนังไทยเมื่อก่อนที่ฉายในโรงเนี่ยแค่จะจูบปากกันเขาก็ใช้บังเอาแล้ว ไม่ได้จูบจริงๆ ด้วย จนกระทั่งมาหลังๆ นี้เองที่ทำได้สมจริงสมจังขึ้นมา”
ในขณะที่มีการเอาหนังโป๊จากต่างประเทศเข้ามาแอบฉายแบบสั้นๆ ภาพยนตร์ไทยก็ค่อยๆ วิวัฒนาการขึ้นมาเป็นฉายเลิฟซีนสั้นๆ ในเรื่องโดยอาจมีแค่เพียง 10-20 วินาที โดยเฮียกังฟูแอบบอกว่าการจะใส่เลิฟซีนที่วาบหวิวหน่อยลงในหนังจะใช้การส่งฉบับไม่มีเลิฟซีนให้ กบว. (คณะกรรมการบริหารวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์) ตรวจแล้วค่อยแทรกฟิล์มในส่วนเลิฟซีนเข้ามาทีหลังแบบแอบๆ แต่ในเวลานั้นก็ยังเป็นเลิฟซีนธรรมดาไม่ใช่ ‘หนังโป๊’
“สมัยก่อนใครจะดูหนังโป๊เนี่ยมันก็ต้องเป็นคนมีเงิน เพราะมันต้องมีเครื่องเล่นจากต่างประเทศพวกเครื่อง 16 มิลเล็กๆ อ่ะ แล้วก็ไปซื้อหนังเป็นฟิล์มเนกาทีฟมา” เฮียกังฟูเล่า
อย่างที่เรากล่าวไป ในสมัยนั้นที่ต้องชมภาพยนตร์ผ่านการฉายฟิล์มเท่านั้น ทำให้หนังโป๊ยังไม่เป็นที่นิยมมากนักเพราะมันต้องไปดูในที่สาธารณะในขณะที่คนส่วนมากต้องการให้เป็นเรื่องส่วนตัว แต่เมื่อเทคโนโลยีพัฒนามาจนถึงยุค ‘เทป’ ศักราชของหนังโป๊ในไทยก็ค่อยๆ เริ่มขึ้น และบูมขึ้นอีกในยุคของ CD มีการส่งภาพยนตร์จากญี่ปุ่น สหรัฐฯ เข้ามาขายให้คนกลับไปดูที่บ้านได้แบบง่ายๆ
เฮียกังฟูที่คร่ำหวอดในวงการโป๊เปลือยฉบับสิ่งพิมพ์มานานก็ต่อยอดงานที่ทำมาผลิตหนังโป๊ไทยบ้าง และในเวลานั้น ‘ตัวพ่อ’ ในวงการวาบหวิวได้สร้างโปรดักชันที่ ‘อลังการ’ และใช้ทุนไปแบบไม่น้อยเลย
“ผมใช้ตากล้องตุ๊กตาทองนะ ที่ถ่ายเรื่องคู่กรรมเนี่ย แล้วผู้กำกับก็เงินล้านนะ ตอนนั้นมันก็ไม่ใช่รายได้ดีอะไรมากมาย แต่เรามี power ด้วย ไอ้เรื่องคู่กรรมที่ทำตอนนั้นลงทุนไป 2 แสนกว่า สมัยนั้นมันก็เยอะมาก ไปล้างฟิล์มที่ฮ่องกงด้วยนะแล้วก็ต้องมาพากย์เสียงอีก หนังใหญ่เลย ใช้ไฟเป็นสิบๆ ดวง” เฮียกังฟูเล่า “มันไม่มีใครกล้าทำเหมือนผม คนอื่นก็อาศัยถ่ายแบบประหยัดกัน ตอนนั้นเราอยากสร้างชื่อเสียงไง ให้รู้ว่าเราทำได้”
โปรดักชันอลังการของเฮียกังฟูถ่ายทำไปราว 10 เรื่อง โดยที่ใช้พื้นที่นิตยสารไทยเพลย์บอยในการโฆษณาขายเลยได้เปรียบกว่าเจ้าอื่นๆ ที่มีพื้นที่สื่อ ขายเทปละ 500 บาท 2 ตลับต่อเรื่อง เรียกว่าไม่ได้ถูกถ้าเทียบกับการทุ่มทุนสร้างแล้วนับว่าไม่ใช่ของแพงอะไร และเฮียก็ไม่ได้ต้องการมากอบโกยเอาเงินเพราะยังยึดงานหลักกับนิตยสารเปลือยอยู่
หนังโป๊ในเวลานั้นคือ ‘หนังโป๊จริงๆ ’ ที่มีการร่วมเพศให้เห็นกันแบบจะๆ ตา แตกต่างจากยุคแผ่น CD ที่มักเป็นหนังเรทเอ็กซ์ หรืออาร์ ที่ไม่ให้เห็นการร่วมเพศ เพราะกฎหมายยังไม่ค่อยเข้มงวดเท่าปัจจุบัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ‘อุตสาหกรรม’ หนังโป๊ไทยจะรุ่งเรือง เพราะอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้ ในอดีตมีการผลิตมาบ้างแต่วิวัฒนาการของหนังโป๊ไทยมาจนถึงจุดหนึ่ง มันก็แช่แข็งและค่อยๆ ถอยหลัง
อุตสาหกรรม ‘ก๊อป’ หนังโป๊
“ไม่เรียกอุตสาหกรรมหนังโป๊หรอก มันเรียกอุตสาหกรรมไม่ได้เลย มันมีแต่แผ่นอัด”
“พอมันมีเทคโนโลยีเข้ามามันก็ก๊อปกันหมด คลองถมเกลื่อนไปหมด เราก็ขายไปจนเราพอแล้ว แค่ไหนก็แค่นั้น”
ถ่ายหนังสักเรื่องต่อให้เป็นหนังโป๊ที่โปรดักชันไม่ได้อลังการก็ต้องมีทุน แต่ปัญหาคือหนังโป๊ไทยไม่มีเรื่องไหนที่มีลิขสิทธิ์ดังนั้นเมื่อมันถูกผลิต มันก็ถูกก๊อบปี้อัดแผ่นขายอยู่ทั่วประเทศโดยที่ผู้ผลิตไม่สามารถฟ้องร้อง หรือแสดงตัวว่าเป็นผู้ผลิตได้เพราะไม่ว่าอย่างไรหนังโป๊ก็ยังเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
“หนังโป๊ไทยมันไม่มีใครคิดจะผลิตอีกแล้ว เพราะถ้าผลิตเขาก็ก๊อบปี้คุณไปขาย คุณจะไปฟ้องใคร ถ้าคุณฟ้องก็คือประกาศตัวว่าคุณทำมันโดนทันทีเลย แล้วหนังต่างประเทศเป็นพันๆ หมื่นๆ เรื่องมัน ก็ก๊อปกันอุตลุด มันไม่มีใครทำมันเลยไม่ไปไหน มันไม่มีทางทำได้”
เฮียกังฟูเล่าต่อว่าโดนขโมยลิขสิทธิ์ไปที่อเมริกา คือมีคนซื้อหนังไปม้วนหนึ่งและเอาไปขายต่อให้ต่างชาติโดยอ้างว่าเป็นของตัวเอง โดยที่ผู้ผลิตตัวจริงไม่สามารถไปฟ้อง หรือไปจับได้ เพราะถ้าแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของก็โดนจับทันที
เมื่อกฎหมายไม่อนุญาตและเทคโนโลยีทำให้การละเมิดลิขสิทธิ์เกลื่อนตลาด การผลิตหนังโป๊ไทยก็ทยอยล้มหายตายจากเพราะไม่สามารถสร้างรายได้อย่างคุ้มค่าอีกต่อไป
สังคมไทยกับ ‘หนังโป๊’ เป็นยังไงใน 30 ปีที่ผ่านมา
“ตอนนั้นสังคมมันก็ไม่ยอมรับอยู่แล้ว แม้แต่ปัจจุบันนี้ทุกคนก็ยังประณามอยู่ เพราะว่าเรามีวัฒนธรรมไง คนที่แสดงท่าที หรือมีจิตที่ไม่คิดไปทางนั้นจะเป็นคนดี แต่คนที่มีใครพุ่งไปทางนั้นจะเป็นคนไม่ดี ถูกไหม ทุกวันนี้สังคมก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่”
“ผมก็ถูกประณามว่าจอมลามกจอมสกปรกประจำ หนังสือของผมก็ไปอยู่ในสภา โดนด่าว่ามันมาขายได้ยังไง”
แม้ว่าเรื่องเพศจะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับสังคมไทยที่เหนียมอายและปิดเรื่องเพศมาตลอดจะยอมรับ เมื่อ 40 กว่าปีก่อนเป็นยังไง เฮียกังฟูก็ยังมองว่าปัจจุบันก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ แม้ว่าปัจจุบันจะมีพื้นที่ให้คนเข้ามาผลิตเนื้อหาของตัวเอง เฮียกังฟูก็มองว่ามันเป็นเรื่องของยุคสมัยและรายได้ที่เข้ามา และจนถึงตอนนี้ด้วยบริบททางสังคมต่างๆ เฮียกังฟูยังมองว่า ‘หนังโป๊ไทย’ เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอยู่ดี
“มันเป็นหนังที่ไม่สมควรทำ เราไปดูหนังของญี่ปุ่น ฝรั่ง ของจีน ไปดีกว่า เพราะมันทำไม่ได้เมืองไทยเรามีวัฒนธรรม มีขนบธรรมเนียม พอทำขึ้นมาแล้วเนี่ยมันก็ไปทำลาย มันก็แค่นั้นเอง มันไม่เหมาะกับการลงทุนหรือไปขายด้วย ไปทำลูกชิ้นทอดยังดีกว่า”
ด้วยบริบทและกฎหมายที่ไม่เอื้อให้การผลิตหนังโป๊เป็นไปได้ในประเทศไทย ทั้งเรื่องลิขสิทธิ์และมุมมองของสังคม ทำให้วงการหนังโป๊ในบ้านเรายังคงถูกแช่แข็งมาหลายสิบปี ส่วนอนาคตวงการหนังโป๊ไทยจะเป็นยังไง เฮียกังฟูตอบเราว่า
“แค่คิดก็ผิดแล้ว ไม่ต้องไปคิดทำหรอก ตราบใดที่มีศีลธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณีเรามีอยู่แล้วไง ญี่ปุ่นมีเหมือนกันแต่รัฐบาลเขาเปิดไง ของเราวางดิลโด้วางกับพื้นก็โดนจับแล้ว ของเราอีก 20 ปีก็อยู่อย่างนี้ มันก็แล้วแต่คนคิด”