3 Min

พังเพราะ ‘ความถ่อย’? ย้อนรอย ‘บอริส จอห์นสัน’ ผู้นำอังกฤษ ถูก ครม. ตบเท้าลาออกจนตัวเองต้องออกตาม

3 Min
336 Views
13 Jul 2022

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาบอริส จอห์นสัน’ (Boris Johnson) เป็นนายกรัฐมนตรีฝั่งอนุรักษนิยมของสหราชอาณาจักรคนแรกหลังจากยุคมาร์กาเร็ต แธตเชอร์’ (Margaret Thatcher) ที่ชนะเลือกตั้งไปด้วยคะแนนถล่มทลาย ทั้งยังเคยเป็นอดีตนายกเทศมนตรีลอนดอนที่มีคนมองว่าเป็นสีสันในแวดวงการเมือง และเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนให้สหราชอาณาจักรถอนตัวจากสหภาพยุโรป (EU) จนเกิดปรากฏการณ์ Brexit

แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมา เขากลายเป็นนายกฯ ที่ถูกสื่อเปรียบเทียบว่าเป็นปลาเน่าซึ่งอาจทำให้พรรครัฐบาลเสียหายไปทั้งข้อง และมองว่าการที่รัฐมนตรีกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคและรัฐบาลรวมกว่า 30 คนลาออกประท้วง เป็นเพราะพวกเขาไม่อยากให้เรื่องอื้อฉาวและความหยาบคายของจอห์นสันกับพวกพ้องฉุดลากพรรคจนเสียคะแนนนิยมกันไปด้วยทั้งหมด 

สุดท้าย จอห์นสันประกาศลาออกจากตำแหน่งเช่นกันในวันที่ 7 กรกฎาคม 2022 แต่ยืนยันว่า จะอยู่รักษาการต่อไปจนกว่าพรรคจะโหวตเลือกผู้นำคนใหม่มาแทนเขาภายในเดือนกันยายน

บอริส จอห์นสัน มาถึงจุดนี้ได้ยังไง? 

ส่วนหนึ่งต้องบอกว่ามาจากพฤติกรรมอื้อฉาวหลายอย่างของตัวเขาเอง ซึ่งมักถูกวิจารณ์ว่าหยาบคาย โกหกเป็นไฟ ประพฤติตัวไม่เหมาะสม ละเมิดกฎเกณฑ์ และละเลยข้อเท็จจริง เพราะคนที่เขาสนับสนุนถูกกล่าวหาว่าพัวพันการละเมิดทางเพศ แต่เขากลับอ้างว่าไม่รู้มาก่อน จนทำให้คนอังกฤษจำนวนมากมองว่าไม่อาจเชื่อถือเขาได้อีกต่อไป

บทความในเว็บไซต์ The Conversation ระบุว่าพฤติกรรมแย่ๆของจอห์นสันเป็นปัจจัยที่ทำให้รัฐบาลของเขาเสื่อมความนิยมไปเอง และมีผลกระทบความเชื่อมั่นของประชาชนต่อสถาบันด้านประชาธิปไตยของอังกฤษด้วย เพราะเขาคือนายกรัฐมนตรีที่เป็นคนสำคัญของระบอบนี้ 

นอกจากนี้ยังมีการอ้างอิงผลสำรวจความเห็นของคนอังกฤษช่วงเดือนกุมภาพันธ์เมษายน 2022 จัดทำโดย Ipsos บ่งชี้ว่า 51 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามรู้สึกว่าจอห์นสันและรัฐบาลของเขาทำงานได้เข้าขั้นแย่’ (bad job) ไล่มาตั้งแต่การบริหารประเทศโดยทั่วไป และการจัดการปัญหาต่างๆ เช่น สภาพเศรษฐกิจ ค่าครองชีพสูง สถานการณ์โรคโควิด-19 รวมถึงสงครามรัสเซียยูเครน ส่วนอีก 54 เปอร์เซ็นต์มองว่าจอห์นสันควรลาออกเช่นกัน

หลังจากโพลสำรวจความเห็นเผยแพร่ออกมาได้ไม่นาน ก็มีเรื่องอื้อฉาวครั้งใหม่เกี่ยวพันกับจอห์นสันและคนใกล้ชิด เพราะคริส พินเชอร์’ (Chris Pincher) รองประธานวิปรัฐบาลและผู้ดูแลด้านระเบียบวินัยของพรรครัฐบาล กลับถูกกล่าวหาว่าละเมิดทางเพศชาย 2 คนตอนเมา ซึ่งแม้ตอนแรกจะปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่ในที่สุดพินเชอร์ก็ต้องลาออกจากการเป็นรองประธานวิปรัฐบาลช่วงปลายเดือนมิถุนายน

ส่วนจอห์นสันถูกตั้งคำถามจากทั้งฝ่ายค้าน สื่อมวลชน และคนในพรรครัฐบาลด้วยกันเองว่า ที่จริงแล้วเขาเคยได้รับแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับพินเชอร์มาก่อนหรือไม่ เพราะคณะกรรมการรัฐสภาด้านระเบียบวินัยเคยได้รับเรื่องร้องเรียนนี้แล้ว ทำให้จอห์นสันออกมาบอกทีหลังว่าตัวเองอาจหลงลืมเรื่องนี้ไป ทำให้คนจำนวนมากตั้งคำถามว่านายกฯ จอห์นสันพูดความจริงหรือไม่

กรณีของพินเชอร์ถูกเปรียบเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้คนในพรรคตบเท้าลาออกจากตำแหน่งสำคัญๆ จนส่งผลกระทบต่อรัฐบาลจอห์นสัน ซึ่งถูกโจมตีมาแล้วหลายระลอก โดยเฉพาะกรณีอื้อฉาวที่เขาและคนใกล้ชิดจำนวนหนึ่งจัดปาร์ตี้เมามายในทำเนียบนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2021 ซึ่งเป็นการละเมิดมาตรการล็อกดาวน์ควบคุมโรคโควิดที่รัฐบาลของเขาประกาศขึ้นมาเอง

แม้จอห์นสันจะแถลงขออภัยต่อพฤติกรรมละเมิดกฎเกณฑ์และมาตรการควบคุมโรคตอนที่มีคนนำภาพในงานมาเปิดโปงทีหลัง แต่คนอังกฤษก็ไม่หายเคืองง่ายๆ เพราะหลายคนจำได้ดีว่า ชีวิตที่ต้องตัดขาดจากครอบครัวและญาติมิตรช่วงกักตัวป้องกันโควิดนั้นเป็นอย่างไร พวกเขาจึงไม่พอใจอย่างมากที่คนในรัฐบาลกลับฝ่าฝืนกฎเสียเอง 

ผู้ที่ลาออกเพื่อประท้วงจอห์นสันรวมถึง ริชี ซูนัค (Rishi Sunak) รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง และ ซาจิด จาวิด (Sajid Javid) รัฐมนตรีสาธารณสุข ซึ่งสร้างแรงกระเพื่อมที่สำคัญต่อพรรคอนุรักษนิยม เพราะทั้งสองคนนี้ถูกมองว่าเป็นตัวเก็งที่มีแนวโน้มจะได้รับเลือกจากคนในพรรคให้มาเป็นนายกฯ แทน

อย่างไรก็ดี ฝ่ายสนับสนุนจอห์นสันก็ไม่ได้นิ่งเฉย เพราะคนที่สร้างเสียงฮือฮาจนกลายเป็นข่าวอีกคนหนึ่งคือ อันเดรีย เจนคินส์ (Andrea Jenkyns) รัฐมนตรีศึกษาธิการ ซึ่งชูนิ้วกลางให้กลุ่มผู้ชุมนุมที่รวมตัวในกรุงลอนดอนเพื่อกดดันให้จอห์นสันลาออก พร้อมทั้งประกาศเสียงดังว่าคนที่หัวเราะทีหลังเสียงดังกว่า รอดูไปเถอะ!” 

หลังจากนั้นเจนคินส์ออกมายอมรับว่า พฤติกรรมดังกล่าวอาจจะไม่เหมาะสมอยู่บ้าง แต่เธอก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง (I’m only human.) ที่ต้องยืนหยัดปกป้องตัวเอง พร้อมบอกว่า ที่ผ่านมากลุ่มต่อต้านจอห์นสันได้ส่งจดหมายขู่ฆ่าเธอหลายฉบับ แต่ เจฟฟ์ บาร์ตัน (Geoff Barton) เลขาธิการสมาพันธ์ผู้บริหารวิทยาลัยและโรงเรียนแห่งสหราชอาณาจักร มองว่า คำแก้ตัวของเจนคินส์ฟังไม่ขึ้นเพราะในฐานะคนที่ต้องสั่งสอนผู้อื่นจะต้องมีวุฒิภาวะที่หนักแน่นกว่านี้

อ้างอิง