ผิดใจกันนิดเดียว ทำไมต้องโมโหขนาดนี้? เมื่อเกิด ‘ภาวะอารมณ์ท่วมท้น’ จนคุมตัวเองไม่ได้ จะจัดการตัวเองอย่างไรดี
เคยสังเกตตัวเองไหมทำไมกับบางเรื่องเราถึงรู้สึกกับมันมากผิดปกติ โกรธจนปรี๊ดแตก วิตกจนเหมือนจะเป็นบ้า กลัวราวกับจะเสียสติ
หลายคนอาจตอบว่า “เพราะฉันเป็นคนอ่อนไหว” แต่นั่นอาจจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะใครๆ ก็เผชิญกับภาวะอารมณ์ที่เรียกว่า ‘Emotional Flooding’ หรือ ‘ภาวะอารมณ์ท่วมท้น’ ได้ทั้งนั้น โดยเฉพาะเมื่อมีเรื่องไม่เข้าใจหรือโต้เถียงกันกับคนที่เราสนิทด้วย ไม่ว่าจะเป็นคนรัก ครอบครัว หรือเพื่อนสนิทก็ตาม
โดยภาวะอารมณ์ท่วมท้น เป็นสภาวะที่อารมณ์ถาโถมเข้าสู่จิตใจและร่างกาย จนคนคนนั้นควบคุมตนเองไม่ได้ และส่งผลกระทบต่อการสื่อสาร ความไว้วางใจ และความใกล้ชิดทางอารมณ์ในความสัมพันธ์ได้อย่างคาดไม่ถึง
คำว่า Emotional Flooding ถูกอธิบายโดยนักจิตวิทยาชื่อดัง จอห์น กอตแมน (John Gottman) ซึ่งศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ระยะยาวอย่างลึกซึ้ง เขาพบว่าเวลาที่คนเราเกิดความขัดแย้งรุนแรงจนรู้สึกท่วมท้นด้วยอารมณ์ เช่น ความกลัว ความโกรธ หรือความวิตกกังวล ร่างกายจะเข้าสู่โหมด ‘สู้หรือหนี’ (fight-or-flight response) โดยอัตโนมัติ นำไปสู่การหลั่งฮอร์โมนความเครียด เช่น คอร์ติซอล (Cortisol) และอะดรีนาลีน (Adrenaline) ทำให้หัวใจเต้นแรง หายใจเร็ว กล้ามเนื้อเกร็ง และสมองไม่สามารถคิดอย่างมีเหตุผลได้ตามปกติ
ผลลัพธ์คือ คนคนนั้นอาจเริ่มตะโกน ตอบโต้ด้วยถ้อยคำรุนแรง หรือแม้กระทั่งเลือกปิดตัวและไม่พูดอะไรเลย ซึ่งล้วนแต่เป็นพฤติกรรมการสื่อสารเชิงป้องกัน (Defensive Communication) ที่ส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ในระยะยาว
หากถามถึงสาเหตุของการเกิดภาวะอารมณ์ท่วมท้น ในความสัมพันธ์นั้นมีหลากหลาย ทั้งการเริ่มต้นบทสนทนาด้วยถ้อยคำที่รุนแรงหรือประชดประชัน ความคับข้องใจจากปัญหาในอดีตที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข รูปแบบความผูกพันที่ไม่ปลอดภัยอย่างเหล่าคน Anxious หรือ Avoidant Attachment รวมถึงปัจจัยจากภายนอกอย่างความเครียดจากงาน ปัญหาทางการเงิน หรือความเหนื่อยล้าทางจิตใจ และที่สำคัญคือ บาดแผลทางอารมณ์ในอดีตที่ยังฝังใจ อาจถูกกระตุ้นขึ้นมาเมื่อพฤติกรรมของคนใกล้ตัวไปสะกิดความทรงจำที่เจ็บปวดโดยไม่รู้ตัว
ในภาวะเช่นนี้ สมองส่วนเหตุผล (Prefrontal Cortex) จะทำงานได้น้อยลง ขณะที่สมองส่วนอารมณ์ (Amygdala) จะมีบทบาทมากขึ้น ทำให้เราตอบสนองแบบหุนหันพลันแล่น ความคิดเบลอ และสื่อสารได้ไม่ดี พูดในสิ่งที่ไม่ตั้งใจ และมักรู้สึกเสียใจภายหลัง การทะเลาะเบาะแว้งที่เริ่มจากเรื่องเล็กๆ จึงสามารถลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว เพราะเราไม่อยู่ในสภาวะที่สามารถพูดคุยด้วยสติหรือฟังกันอย่างเข้าใจได้
แต่ข่าวดีคือแม้ภาวะอารมณ์ท่วมท้นจะเป็นกลไกอัตโนมัติของร่างกาย แต่ก็สามารถจัดการได้หากเรารู้เท่าทันตัวเอง!
1 – สังเกตสัญญาณทั้งทางร่างกาย เช่น หัวใจเต้นเร็ว หายใจถี่ ตัวร้อน และทางจิตใจ เช่น รู้สึกท่วมท้น สับสน หรือหมดหนทาง
2 – เมื่อรู้ตัวแล้ว ให้หยุดพักบทสนทนาโดยไม่ใช้คำพูดประชดหรือปิดประตูการสื่อสาร เช่น อาจพูดว่า “เรารู้สึกไม่ไหวแล้ว ขอพักก่อนนะ เดี๋ยวกลับมาคุยใหม่อีก 20 นาทีได้ไหม”
โดยช่วงเวลาพักควรนานพอที่ร่างกายจะได้หลั่งสารสื่อประสาทที่ช่วยสงบระบบประสาท เช่น Norepinephrine และใช้ช่วงเวลานั้นในการดูแลตัวเองอย่างจริงจัง หลีกเลี่ยงการคิดวนซ้ำถึงบทสนทนาเมื่อครู่ หรือวางแผนว่าจะสวนกลับด้วยคำพูดอะไร เพราะนั่นจะยิ่งกระตุ้นฮอร์โมนความเครียด
3 – วิธีที่ช่วยได้จริงคือการฝึกหายใจลึกๆ คลายกล้ามเนื้อ ฟังเพลงเบาๆ เดินเล่น หรือสังเกตความรู้สึกในร่างกายและเสียงรอบตัวอย่างมีสติ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้สมองกลับมาทำงานอย่างสมดุล และเปิดทางให้เรากลับไปสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ได้อีกครั้ง
4 – หากใครพบว่าตัวเองตกอยู่ในภาวะอารมณ์ท่วมท้นเป็นประจำ หรือมีความขัดแย้งที่เรื้อรังในความสัมพันธ์ การขอคำปรึกษาจากนักจิตวิทยาหรือนักบำบัดความสัมพันธ์ก็เป็นทางเลือกที่ควรพิจารณา เพราะผู้เชี่ยวชาญสามารถช่วยให้คุณและคู่ของคุณเรียนรู้วิธีสื่อสารและจัดการความรู้สึกได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
MOODY ขอย้ำว่า ‘ภาวะอารมณ์ท่วมท้น’ ไม่ใช่ความอ่อนแอทางใจ แต่เป็นสัญญาณว่าร่างกายและจิตใจกำลังร้องขอความปลอดภัย ความเข้าใจ และการเยียวยา
เมื่อเรารับรู้สิ่งนี้อย่างจริงใจ ยอมรับว่าตัวเองก็มีวันที่ท่วมท้น และเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเองด้วยความเมตตา เราก็จะสามารถฟื้นความสัมพันธ์ที่สำคัญให้กลับมาเติบโตในบรรยากาศที่มีความใส่ใจและสมดุลทางอารมณ์มากขึ้นอีกครั้ง
อ้างอิง:
- What Is Emotional Flooding? https://shorturl.asia/1g9Yr
- Navigating Flooding: Managing Emotional Overload During Conflicts https://shorturl.asia/PM3c7
- Understanding and Coping With Emotional Flooding https://shorturl.asia/btoDN