Elvis ชีวิตแสนสั้น แต่ตำนานนั้นยืนยาว

2 Min
769 Views
16 Aug 2022

ภาพความวิบวับอลังการเมลืองมลังที่เปรียบได้ดั่งลายเซ็นของผู้กำกับ บาซ เลอร์มานน์ (Baz Luhrmann) อาจจะเข้ากันได้ดีในชุดคอสตูมหลุดโลกของราชาร็อคแอนด์โรล เอลวิส เพรสลีย์ (Elvis Presley) ในช่วงสุดท้ายของชีวิตที่เขาประจำการอยู่ในลาสเวกัส แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันก็เปรียบเป็นดาบสองคมที่ทำให้เราไม่สามารถมองเอลวิสได้ในมุมลึกไปกว่าที่เรามักเห็นจากภาพคอนเสิร์ตเก่าๆ ที่เราเคยดูมา

เรื่องราวของเอลวิส (แสดงโดย ออสติน บัตเลอร์ (Austin Butler)) ที่เล่าจากเด็กน้อยที่เพลงกอสเปลและเพลงบลูส์ ดึงดูดให้เขาหลงใหลและค้นพบทฤษฎีใหม่ของแนวดนตรี ที่ไม่เพียงสร้างมูลค่าในฐานะดนตรีแนวใหม่ในยุคนั้น แต่ยังสร้างเสน่ห์จนทำให้หญิงสาวในยุคสมัยที่สงบเสงี่ยมเจียมเนื้อเจียมตัวได้กรีดร้องปลดปล่อยพลังพิศวาสจนเขาเป็นเทพบุตรในสายตาหญิงสาว และเป็นซาตานในสายตาคนรุ่นเก่า ถูกเล่าอย่างรวดเร็วผ่านการตัดต่อในแบบฉับไวทันสมัย ฉากและชีวิตถูกกดปุ่มแบบ fast forward เพื่อบอกถึงความสำเร็จที่จู่โจมชายหนุ่มอย่างรวดเร็วและไม่ทันตั้งตัว

แต่หลังจากที่เอลวิสได้ทำความรู้จักกับ ผู้พันทอม ปาร์กเกอร์ (Tom Parker) ที่นำแสดงโดย ทอม แฮงค์ (Tom Hank) ที่เสนอตัวเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้ ชีวิตของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นแรงเฉื่อยอันแสนเชื่องช้า ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงอันแสนหอมหวน เงินทองที่มากมายมหาศาล แต่อีกด้านเขาก็เริ่มทุกข์ทนกับการถูกกดทับจนไร้ซึ่งอิสรเสรีของการแสดงออก 

ก่อนความเป็นมิตรและศัตรูของทั้งสองจะค่อยๆ เดินเป็นเส้นขนานกัน และนำไปสู่ช่วงชีวิตสุดท้ายของราชาร็อคแอนด์โรล เมื่อเขาถูกกักขังในกรงทองของสถานที่ที่ชื่อ ลาสเวกัส

ลายเซ็นอันแสนแม่นยำจนเรียกได้ว่าเป็นสไตล์จัดจ้านเฉพาะตัวนั้น อาจจะทำงานได้ดีในหนังจำพวก William Shakespeare’s Romeo + Juliet (1996), Moulin Rouge! (2001) และ The Great Gatsby (2013) ที่เอื้อให้เลอร์มานได้สาดวิสัยทัศน์อันแสนอลังการผ่านจริตและภาพที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งชีวิตของเอลวิสนั้นก็ดูจะไปในทิศทางเดียวกัน

แต่ภาพรวมของหนัง เทคนิคทางด้านภาพ การตัดต่อ ไปจนถึงดนตรีที่สาดซัดเข้ามา กลับทำได้เพียงผลิตกลิตเตอร์ฉาบความระยิบระยับในด้านราบ และบดบังกลบความลึกทั้งตัวละครและเนื้อหาจนหมดสิ้น และยิ่งหนังเลือกที่จะเล่าผ่านสายตาของผู้พันทอม ชีวิตของ เอลวิส จึงไม่ต่างกับหุ่นกระบอกที่ถูกเชิดไปตามความรู้สึกที่ตัวผู้กำกับเลือกจะผกผันไปตามเหตุการณ์ที่รองรับมาอย่างน่าเสียดาย 

อย่างไรก็ดี แม้หนังชีวประวัติของเอลวิส จะถูกเล่นแร่แปรธาตุด้วยการโปรยเทคนิคและบิดรูปแบบให้ทันสมัย จนอาจจะเรียกได้ว่ามีความเป็น fiction มากกว่า biography แต่จิตวิญญาณขบถที่เปล่งประกายออกมา ก็พอจะทำให้คนรุ่นหลังได้เห็นการขัดขืนทางวัฒนธรรมที่เป็นสิ่งสำคัญที่ก่อให้เกิดรูปแบบทางดนตรีและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล ซึ่งเท่านี้ก็เพียงพอที่จะขนานนามเขาว่า King of Rock & Roll แล้ว

16 สิงหาคม 1977 ครบรอบวันที่โลกสูญเสียราชาเพลงร็อคไปตลอดกาล แต่ตำนานและความขบถของเขาจะยังคงอยู่ตลอดไป