รู้ไหม Elon Musk คือเจ้าพ่อดาวเทียม เขาคือคนที่ครอบครองดาวเทียมมากที่สุดในโลก
Select Paragraph To Read
- สำรวจประชากรดาวเทียม
- ทีนี้ชาติไหนส่งดาวเทียมไปบ้าง?
- Elon Musk เจ้าอวกาศ
- โปรเจค Starlink
- เครือข่ายนอกโลก อำนาจของ Elon Musk
Elon Musk เป็นหลายอย่างสำหรับหลายคน เขาเคยเป็นเจ้าพ่อรถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาด เป็น Iron Man ในชีวิตจริง เป็นฮีโร่ช่วยทีมหมูป่า เป็นคนรวยที่สุดในโลก เป็นเจ้าพ่อปั่นคริปโต เป็นคนที่พยายามจะเชื่อมมนุษย์เข้ากับคอมพิวเตอร์ ฯลฯ
แต่สิ่งที่คนไม่ค่อยรู้ว่าเขาเป็นอีกอย่างหนึ่งก็คือ เขามีดาวเทียมในครอบครองมากที่สุดในโลก โดยดาวเทียมที่ใช้การได้และวนอยู่รอบๆ โลกเวลานี้ราวๆ 1 ใน 3 เป็นของ Elon Musk (หรือให้ตรงคือเป็นของ SpaceX)
ทำไมเขาถึงมีดาวเทียมเยอะขนาดนี้ แล้วมันเอาไปใช้ทำอะไร
เอาล่ะ เราจะค่อยๆ เล่าไปทีละเรื่องนะครับ
สำรวจประชากรดาวเทียม
รอบโลกนี้มีดาวเทียมมากมาย ซึ่งก็เรียกได้ว่ายิ่งส่งดาวเทียมง่ายเท่าไร ก็ยิ่งเยอะเท่านั้น และดาวเทียมที่อยู่รอบโลกนั้นปัจจุบันมีประมาณ 6,000-7,000 ดวง
ในจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งใช้การไม่ได้ เป็นขยะอวกาศลอยอยู่ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังไม่เป็นปัญหา เพราะวงโคจรรอบโลกนั้นกว้างใหญ่ไพศาล และเอาจริงๆ แต่ละชาติก็ไม่ได้มีโควตาว่าส่งดาวเทียมไปได้เท่าไร เรียกได้ว่ามีงบ เช็กวงโคจรว่าจะไม่ชนดวงอื่น ก็ส่งขึ้นไปได้เลย
ดังนั้น ปัจจุบันนี้มีดาวเทียมโคจรรอบโลกที่ใช้งานได้อยู่ราวๆ 3,000 ดวงด้วยกัน
ทีนี้ชาติไหนส่งดาวเทียมไปบ้าง?
ดาวเทียมในโลกนี้ ราวครึ่งหนึ่งเป็นของอเมริกา และรองลงมาเป็นของจีนและรัสเซียเพียง 15% และ 6% เท่านั้นตามลำดับ นอกนั้นเป็นของประเทศอื่นๆ ดังนั้นจะพูดก็ได้ว่า ดาวเทียมส่วนใหญ่ที่โคจรอยู่เป็นของอเมริกา
ทำไมอเมริกาถึงดาวเทียมเยอะที่สุดก็คงไม่ต้องอธิบายกันมากนัก แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ สาเหตุที่ดาวเทียมอเมริกาเยอะที่สุด นั้นไม่ใช่ดาวเทียมของกองทัพหรือของรัฐบาล แต่เป็นดาวเทียมของเอกชนเพื่อการพาณิชย์เป็นส่วนใหญ่
และนี่คือจุดที่ Elon Musk ของเราเข้ามามีบทบาท
Elon Musk เจ้าอวกาศ
นับตั้งแต่อเมริกาเปิดให้เอกชนส่งดาวเทียมขึ้นไปได้ ก็แน่นอนว่าเอกชนก็ส่งรัวๆ เมื่อมีโอกาส ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือ ต้องพ่วงไปกับโครงการส่งจรวดของรัฐ
แต่ทีนี้ถ้าใครรู้ประวัติ SpaceX ก็จะรู้ว่านี่คือบริษัทเอกชนบริษัทแรกของโลกที่ส่งจรวดไปอวกาศได้ ซึ่งถ้าใครตามก็คงจะรู้อีกว่านี่ไม่ใช่ง่ายๆ เพราะบริษัทตั้งมาปี 2002 เริ่มปล่อยจรวดครั้งแรกปี 2006 แต่ล้มเหลว อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ปี 2008 บริษัทก็ส่งจรวดไปสู่อวกาศสำเร็จ และก็ส่งต่อเนื่องรัวๆ มาจนถึงตอนนี้
ทีนี้ เวลาส่งจรวดไปอวกาศ สิ่งที่ส่งแถมไปด้วยคือ “ดาวเทียม” พูดง่ายๆ ทุกครั้งที่ SpaceX ส่งจรวดไปอวกาศ ก็จะมีการค่อยๆ ส่งดาวเทียมไปอวกาศ ซึ่งก็แน่นอน เริ่มจากหลักหน่วย หลักสิบ และก็ขยายมาเป็นหลักร้อย ก็ส่งเพิ่มๆ ไปสะสมเรื่อยๆ
และนี่ทำให้ในกลางปี 2021 จำนวนดาวเทียมของ SpaceX มีรวมๆ กันราวๆ 900 ดวงแล้ว หรือราวๆ 1 ใน 3 ของดาวเทียมที่ทำงานอยู่ในวงโคจรของโลกเกือบ 3,000 ดวง และนี่คือจำนวนที่มากกว่าบริษัทใดๆ หรือกระทั่งรัฐบาลใดๆ มีในอวกาศ แม้แต่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเอง
แต่คำถามคือ Elon Musk ส่งดาวเทียมขึ้นไปทำไม?
โปรเจค Starlink
ณ กลางปี 2021 คนที่ตามข่าวเทคโนโลยีก็คงจะรู้จักโครงการ Stalink ของ SpaceX ซึ่งเป็น “อินเทอร์เน็ตดาวเทียม” เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเอาจริงๆ นี่ไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ เพราะอินเทอร์เน็ตดาวเทียมมีมานานมากๆ แล้ว แต่ความต่างของ Starlink ก็คือเร็วกว่ามากๆ และมันอยู่ในมือเอกชนโดยสมบูรณ์
และความต่างที่ว่าก็มาจาก “จำนวนดาวเทียม” ที่เล่ามา
บริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียมมีมานานแล้วก็จริง แต่หลักๆ คือไม่มีบริษัทเอกชนบริษัทไหนจะมีดาวเทียมของตัวเองมากมายพอที่จะสร้าง “เครือข่ายของตัวเอง” ได้ และต้องพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานและดาวเทียมของรัฐทั้งนั้น พูดง่ายๆ คือจะส่งดาวเทียมไปก็ต้อง “ติดจรวด” ของรัฐไป และนี่ทำให้บริษัทเหล่านี้ต้องมีสายสัมพันธ์กับรัฐอย่างลึกซึ้งพอควรทั้งนั้น
และ Starlink เป็นบริษัทแรกในโลกที่ส่งดาวเทียมไปอวกาศได้โดยไม่ต้องพึ่งรัฐ และการส่งดาวเทียมไปอย่างต่อเนื่องมีดาวเทียมของตัวเองมากพอในอวกาศระดับที่สร้างเครือข่ายของตัวเองแบบไม่ต้องพึ่งพารัฐได้
หรือจะพูดให้โหดกว่านั้น Starlink น่าจะเป็นบริษัทอินเทอร์เน็ตแรกในโลก ที่มี “โครงสร้างพื้นฐาน” เป็นของตัวเองโดยสมบูรณ์
อะไรพวกนี้ยิ่งใหญ่สุดๆ ในยุคที่รัฐชอบทำการบล็อกอินเทอร์เน็ต และไปกดดันผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ซึ่งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่ก็ต้องยอมทั้งนั้นถ้ามีโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ของรัฐ แต่อีกด้านหนึ่งนี่หมายความว่า Starlink มีอำนาจพอจะไม่ต้องก้มหัวให้รัฐใดๆ ทั้งนั้น เพราะโครงสร้างพื้นฐานอยู่ “นอกโลก” ทั้งหมด
และนี่คือ “ความหมายที่แท้จริง” ของการส่งดาวเทียมไปสู่อวกาศอย่างต่อเนื่องนับ 10 ปีของ Elon Musk ความได้เปรียบที่ “เริ่มก่อน” นี้ทำให้ทุกวันนี้ไม่มีบริษัทใดในโลกมีดาวเทียมหรือประสบการณ์ส่งดาวเทียมและดูแลเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอวกาศเท่ากับ Starlink อีกแล้ว พูดอีกแบบคือบริษัทนี้นำหน้าบริษัทอื่นๆ ในโลกไปอย่างต่ำๆ 10 ปี
เครือข่ายนอกโลก อำนาจของ Elon Musk
ถ้ามองจากฝ่ายรัฐ มันน่าขนลุกมาก เพราะชายอย่าง Elon Musk นี้มีเครือข่ายที่อยู่เหนือการควบคุมของรัฐโดยสิ้นเชิง
หรือเอาง่ายๆ ถ้าในสมัยก่อน เราจะบอกว่าการมีอินเทอร์เน็ตเนี่ย สุดท้าย “ถูกตัดสาย” ก็จบ ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะถ้าใครมีปัญญาตัดสายเคเบิลจนหมด โลกนี้ก็ไม่เหลืออินเทอร์เน็ต เพราะเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทุกวันนี้ทำงานผ่านสายเคเบิลทั้งนั้น
คือเราใช้ “สัญญาณไร้สาย” ก็จริงในส่วนของสมาร์ตโฟน แต่สัญญาณมันก็วิ่งเข้าออกที่เสาสัญญาณใกล้ๆ อยู่ดี และถ้าสายตรงนั้นโดนตัด เราก็จะเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไม่ได้
แต่สิ่งที่ Elon Musk เปลี่ยนก็คือ ต่อให้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตแบบ “มีสาย” ล่มทั้งโลกด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ ต่อให้มีรัฐบาลเผด็จการอะไรก็ตามพยายามตัดเน็ต ก็มี Starlink นี่แหละที่จะให้บริการได้ เพราะเครือข่ายมันอยู่นอกโลกทั้งหมด
หรือถ้าจะอธิบายให้เวอร์หน่อย ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบเอานิวเคลียร์ยิงกัน จนเกิดภาวะแบบ “วันสิ้นโลก” แล้วพวกคอมพิวเตอร์ที่คุมเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในโลกพังหมด สายเคเบิลโดนระเบิดหมดแล้ว โลกนี้ก็ยังจะเหลือเครือข่าย Starlink ให้สื่อสารกันในยุค “หลังวันสิ้นโลก”
นี่เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่สุดๆ ระดับที่คู่ควรกับมนุษย์สุดอีปีคอย่าง Elon Musk
ซึ่งที่โหดคือ มันเป็น “อำนาจ” ที่เขาสั่งสมมาเงียบๆ ที่ไม่มีใครมองเห็น แม้ว่ามันจะทำงานได้จริงแล้ว