3 Min

ปฏิบัติการณ์กินรวบของ Disney ยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมภาพยนตร์

3 Min
468 Views
19 Nov 2021

ทุกวันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก Disney ในสมัยเด็ก ๆ เวลาพูดถึง Disney เราคงนึกถึงมิกกี้เมาส์และภาพยนตร์การ์ตูนสองมิติดัง ๆ ในอดีตที่ต้องมี “เจ้าหญิงดิสนีย์”

แต่มาวันนี้ ถ้าถามว่า Disney คืออะไร เราอาจจะงง ๆ หน่อย เพราะเรารู้สึกดูหนังอะไรก็เห็นโลโก้ Disney เต็มไปหมด มันไม่ใช่แค่การ์ตูนแล้ว

คือเรารู้ว่ามันน่าจะไม่ใช่เหมือนเดิมที่เรารู้จักตอนเด็ก ๆ แล้วล่ะ แต่ไม่รู้ว่ามันใหญ่ขนาดไหน

คำตอบคือใหญ่มาก และใหญ่ที่สุดแล้วในอุตสาหกรรมภาพยนตร์โลก
ใหญ่แค่ไหน? เอาอย่างนี้นะครับ คือถ้าไปไล่ดูหนังทำเงินมากที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา เราจะพบว่าน่าจะมีหนังแค่ 3 เรื่องเท่านั้นที่ไม่ใช่หนังที่ Disney เป็นเจ้าของอยู่ตอนนี้

มันยิ่งใหญ่มาก ๆ อีกนิดจะผูกขาดอุตสาหกรรมสื่อบันเทิงโลกแล้ว

แล้ว Disney จากบริษัทการ์ตูนเด็กที่เรารู้จักกลายมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไร? มาดูกันครับ

Disney เป็นบริษัทภาพยนตร์การ์ตูนที่เก่าแก่มากของโลกมันตั้งมาเกือบ 100 ปีแล้วในปี 1923 ตั้งแต่ยุคหนังเงียบซึ่งก็เปลี่ยนชื่อมาเรื่อย ๆ และชื่อปัจจุบันก็คือ The Walt Disney Company

ถ้าเราจะเล่าประวัติของ Disney ทั้งหมด มันก็คงจะยาวเฟื้อยเกินไปจนหลุดประเด็นที่เราจะเน้นในที่นี้ ดังนั้นเราขอวาร์ปมา ณ จุดเปลี่ยนแปลงสำคัญของ Disney ซึ่งก็คือการขึ้นเป็น CEO ของ Bob Iger ผู้เป็น CEO ของ Disney มาตั้งแต่ปี 2005 ถึงปัจจุบัน

สิ่งที่ Bob Iger ทำที่สำคัญที่สุดก็คือการเปลี่ยน Disney จากมหาอำนาจแห่งโลกการ์ตูนให้กลายเป็นมหาอำนาจแห่งอุตสาหกรรมภาพยนตร์โดยรวม

ตอนที่ Bob Iger ขึ้นเป็น CEO ตัว Disney เองก็น่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกการ์ตูนเรียบร้อยแล้ว

และเงินมันก็มหาศาล อย่างไรก็ดี การจะเปลี่ยนบริษัทให้เป็นบริษัทภาพยนตร์แบบสร้างคอนเทนต์เองมันก็เสี่ยงสุด ๆ Iger ก็เลยใช้เทคนิคที่ใช้กันปกติในแวดวงธุรกิจใหญ่ ๆ คือไล่เทคโอเวอร์บริษัทอื่น

บริษัทแรกในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่ถูกเทคโอเวอร์จาก Disney คือ Pixar ที่เรียกว่าเป็นบริษัทน้องใหม่ที่ทำอนิเมชั่นแบบ 3 มิติที่กำลังมาแรง หรือเรียกง่าย ๆ ก็คือบริษัทที่จะมาท้าทาย Disney ในการจะเป็นมหาอำนาจด้านการ์ตูนในยุคการ์ตูน 3 มิตินั่นเอง และหลังจาก Iger ขึ้นเป็น CEO ก็ไม่รอช้า เทคโอเวอร์เลย โดยดีลสำเร็จในปี 2006 นี่ทำให้ Disney กลายเป็นเจ้าของแฟรนไชส์การ์ตูนสามมิติยุคใหม่อย่าง Toy Story, Monster Inc. ฯลฯ

แต่จุดสำคัญในการเทคโอเวอร์ของ Disney ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์คือการไปเทคโอเวอร์ Marvel Studio ในปี 2009 และสร้าง Marvel Cinematic Universe หลังจากนั้น (ในหนัง Marvel Cinematic Universe มีแค่ Iron Man ภาคแรกในปี 2008 เท่านั้นที่ออกฉายตอนที่ทางสตูดิโอยังไม่เป็นของ Disney)

การเทคโอเวอร์ Marvel Studio และสร้าง Marvel Cinematic Universe เป็นก้าวสำคัญมาก ๆ ของ Disney เพราะหนัง Marvel มันทำเงินให้กับ Disney มหาศาล ไปไล่ดูเถอะครับ หนังทำเงินอันดับต้นของโลกในรอบ 10 ปีหลัง หนัง Marvel ติด Top 3 ทุกปี และนี่คือเม็ดเงินที่เข้าไปที่ Disney ทั้งนั้น

นี่ทำให้ Disney รวยมาก และทำให้สามารถซื้อ Lucas Film มาได้ในปี 2012 และทำให้ Disney กลายเป็นเจ้าของแฟรนไชส์ Star Wars ไปด้วย (จริง ๆ ดีลมันคือซื้อบริษัทแม่ของ Lucas Film อย่าง 21st Century Fox)

และก็แน่นอน Disney ก็ยังไม่หยุดแค่นี้ เพราะล่าสุดปีนี้เพิ่งปิดดีลระดับโคตรยิ่งใหญ่ เพราะซื้อ 20th Century Fox มาได้ และทำให้ Disney กลายมาเป็นเจ้าของทั้งแฟรนไชส์ X-Men และ Avatar ซึ่งยังครองบัลลังก์หนังที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาลของโลกอยู่

ดีลทั้งหมด มองย้อนไปจะเห็นเลยว่า Disney ไล่ซื้อสตูดิโอที่ทำหนังทำเงินสูง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่าตอนนี้สตูดิโอที่ยังพอทำหนังทำเงินได้สูง ๆ เหลืออีกสตูดิโออย่าง Warner เท่านั้นที่ยังรอดจากการไม่โดนเทคโอเวอร์ (Warner ถือแฟรนไชส์ Lord of the Rings, Harry Potter และมี DC Studios อยู่ในมือ แต่ความสำเร็จในด้านรายได้ก็คนละเรื่องกับ Marvel Studios เลย)

ที่โหดคือทั้งหมดที่เล่ามา เป็นแค่ส่วนหนึ่งของอาณาจักรสื่อของ Disney เท่านั้น เพราะ Disney ยังเป็นเจ้าของช่องเคเบิลอีกมากมาย ขนาด ESPN ที่เป็นช่องกีฬาอันโด่งดังนี่ก็ของ Disney

นี่ทำให้การประกาศกว่า Disney จะทำ Disney+ ซึ่งเป็นบริการสตรีมมิ่งมาแข่งกับ Netflix มันทำให้ Netflix ต้องหนาว เพราะ Disney มีหนังทำเงินระดับท็อปของโลกในช่วงสิบปีหลังอยู่ในมือเกือบหมด และการที่ Disney จะแข่งกับ Netflix ก็หมายความว่าหนังเหล่านี้ก็น่าจะจะถูกถอดจาก Netflix ด้วย

และถ้านั่นยังไม่ใช่ข่าวร้ายพอของ Netflix แล้ว ทาง AT&T ทีเป็นบริษัทแม่ของ Warner ก็ประกาศจะทำบริการสตรีมมิ่งมาแข่งกับ Netflix อีก ซึ่งนั่นก็หมายความอีกว่าบรรดาหนังทำเงินทางฝั่ง Warner ก็น่าจะหายไปจาก Netflix เช่นกัน

ก่อนที่เราจะเซ็งว่าในอนาคต Netflix จะเหลืออะไรให้เราดู สิ่งที่อยากเน้นตอนนี้ก็คือ ความยิ่งใหญ่ระดับน่าสะพรึงกลัวของ Disney ที่เล่ามาตั้งแต่ตอนต้นครับ

ลองคิดดูแล้วกันครับว่าถ้า Disney สามารถโค่น Netflix ได้ Disney จะยิ่งใหญ่น่ากลัวแค่ไหน ซึ่งนี่ก็ยังไม่ต้องพูดกรณีที่ Disney อาจเทคโอเวอร์ Warner ได้ในอนาคต

เพราะถึงตอนนั้นคงเรียกได้ว่า Disney “กินรวบ” อุตสาหกรรมสื่อบันเทิงโลกของจริง