5 Min

ไม่จำเป็นต้อง ‘เห็นใจ’ ฆาตกร แต่ควรจะ ‘ทำความเข้าใจ’ เพื่อหาทางป้องกันตัว-ลดความเสี่ยงก่อเหตุ

5 Min
1286 Views
24 Oct 2022

อยากรู้แต่ไม่มีเวลา อ่านแค่ตรงนี้พอ

**คำเตือน: เนื้อหาบางส่วนต่อจากนี้พูดถึงรูปคดีและความรุนแรง**

ถ้าถามว่าฆาตกรที่จบชีวิตคนอื่นควรได้รับความเห็นใจหรือไม่ คำตอบคงต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าถามเรื่องนี้กับใคร และความเห็นใจก็เป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้ด้วย แต่มีงานวิจัยบางส่วนในฝั่งตะวันตกที่ชี้ว่าความเห็นอกเห็นใจอาจไม่จำเป็นเท่ากับการทำความเข้าใจแรงจูงใจของผู้ก่อเหตุ เพราะเชื่อว่าถ้าเข้าใจสิ่งนี้ได้มากเท่าไหร่ ก็มีแนวโน้มที่จะหาทางป้องกันหรือลดปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดความสูญเสียในอนาคตได้มากยิ่งขึ้น และนอกจากจะพยายามเข้าใจผู้ก่อเหตุแล้ว ก็ต้องสนใจบริบทแวดล้อมในสังคมด้วย


คดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญเกิดขึ้นหลายครั้งหลายหนในสหรัฐอเมริกา และสังคมอเมริกันก็พยายามจะหาคำตอบกันว่าเหตุหรือปัจจัยอะไรที่ทำให้อยู่ดีๆ คนก็ลุกขึ้นมาฆ่าคนอื่น

ด้วยเหตุนี้ก็เลยมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเหตุฆาตกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นช่วงศตวรรษที่ผ่านมา และมีการสรุปคร่าวๆ ว่าสาเหตุนั้นมีหลายอย่าง ตั้งแต่การเลี้ยงดูในวัยเด็กที่ตกเป็นเหยื่อการใช้ความรุนแรงในครอบครัว การถูกกดทับทางอัตลักษณ์ ความผิดปกติทางสมองและสารสื่อประสาท การเสพติดยาหรือสารเคมีต่างๆ อย่างเรื้อรัง ไปจนถึงการตกอยู่ในภาวะกดดันหรือสิ้นหวัง

แต่ถึงอย่างนั้นก็มีการย้ำอยู่เสมอว่า แรงจูงใจของฆาตกรอาจมีมากกว่านี้ และสมควรที่จะศึกษาค้นคว้าต่อไปอย่าได้หยุด

เหมือนอย่าง เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ (Jeffrey Dahmer) ฆาตกรต่อเนื่องชาวอเมริกันที่สังหารและล่วงละเมิดศพเหยื่อ 17 รายระหว่างปี 1978-1991 ก็เป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่มีคนเก็บข้อมูลและพยายามวินิจฉัย ซึ่งล่าสุดก็มีการนำซีรีส์เกี่ยวกับดาห์เมอร์ออกฉายใน Netflix และถูกคนในครอบครัวผู้ตายวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการทำร้ายให้ผู้สูญเสียต้องเจ็บปวดซ้ำอีกรอบ ทั้งยังไม่เห็นด้วยที่เรื่องแบบนี้จะถูกนำมาพูดซ้ำ

ด้วยเหตุนี้ก็เลยมีผู้เชี่ยวชาญออกมายืนยันว่า การบอกเล่าเรื่องราวของฆาตกรเป็นคนละเรื่องกับการศึกษาทางอาชญวิทยาเพื่อให้ผู้ที่มีหน้าที่สืบสวนสอบสวนคดีจะได้เข้าใจหรืออย่างน้อยก็ต้องเดาทางของฆาตกรได้ เพราะต้องหาทางนำตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี รวมถึงต้องจับสัญญาณอันตรายที่บ่งชี้ว่าอาจจะนำไปสู่การก่อความรุนแรงต่อผู้คนอื่นๆ ในสังคม และพยายามหาทางป้องกัน การจะห้ามไม่ให้พูดถึงกรณีดาห์เมอร์ในทางสาธารณะทุกด้านเลยจึงเป็นไปไม่ได้

ฆาตกรต่อเนื่อง ไม่ได้มีท่าทีก้าวร้าวเสมอไป

กรณีของดาห์เมอร์ มีการศึกษาว่าอะไรคือแรงจูงใจในการก่อเหตุ ซึ่งแม้จะไม่อาจฟันธงได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่นักจิตวิทยาหลายคนวินิจฉัยว่าเขามีภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่ง หรือ Borderline personality disorder รวมถึงภาวะไร้สำนึกและขาดความยับยั้งชั่งใจ (Psychopath) ซึ่งเป็นกลุ่มอาการต่อต้านสังคม (Anti-social personality disorder) และก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่มีอาการในกลุ่มนี้จะต้องเป็นฆาตกร แต่อาจมีพฤติกรรมที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานทั่วไปของสังคมเท่านั้น

จากข้อมูลการให้ปากคำต่อเจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) ดาห์เมอร์บอกว่าตัวเขารู้สึกแปลกแยกจากคนอื่นๆ ตั้งแต่อายุ 13-14 ปี เพราะเขารู้ว่าตัวเองเป็นโฮโมเซ็กชวล แต่ในยุคนั้นการเป็น LGBTQ+ ในสหรัฐฯ ยังเป็นเรื่องที่ถูกสังคมประณาม

ดาห์เมอร์บอกด้วยว่า เขาหลงใหลการเก็บซากสัตว์ที่ถูกรถชนตายบนท้องถนนมาชำแหละดูอวัยวะภายใน และเกิดจินตนาการในหัวแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ ว่าอยากจะฆ่าและชำแหละใครสักคนเขาจึงหันไปดื่มเหล้าหรือไม่ก็ดูหนังโป๊เพื่อให้ลืมเรื่องนี้ แต่ก็ไม่สำเร็จ และในที่สุดเขาก็ลงมือก่อเหตุครั้งแรกกับชายหนุ่มที่ขอติดรถไปดูคอนเสิร์ตในปี 1978

อย่างไรก็ดีดาห์เมอร์ให้ปากคำด้วยว่าคนที่รู้จักเขาในวัยผู้ใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานคนที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์เดียวกันหรือแม้แต่ตำรวจที่มาสอบถามเบาะแสเหยื่อที่ถูกเขาฆ่าต่างก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนเงียบๆสุภาพมีระเบียบและไม่อยากเชื่อว่าเขาจะลงมือก่อเหตุได้จริงจึงไม่ค่อยซักไซ้อะไรมากนักและดาห์เมอร์เดาว่าคงเป็นเพราะเขาไม่ได้มีท่าทีก้าวร้าวทั้งยังให้ความร่วมมือด้วยดีในเวลาที่คนอื่นถามและก็ไม่เคยสร้างปัญหาให้ใคร

สิ่งที่ทำให้ดาห์เมอร์โดนจับในเดือนกรกฎาคม 1991 เป็นเพราะเหยื่อคนหนึ่งซึ่งเขาชวนมาที่ห้องสามารถดิ้นรนหนีการก่อเหตุของเขาไปได้ และไปขอความช่วยเหลือจากตำรวจ โดยหนังสือที่บันทึกปากคำของเหยื่อคนนี้บอกว่า เขาพยายามไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวดาห์เมอร์ซึ่งถือมีดยาวขู่ และพยายามกล่อมไม่ให้ดาห์เมอร์ใส่กุญแจมือทั้งสองข้างของเขา รวมถึงขอเข้าห้องน้ำแล้วบอกว่าอีกเดี๋ยวจะออกมาดื่มเบียร์เป็นเพื่อน แต่หลังจากนั้นก็หาจังหวะต่อยดาห์เมอร์อย่างแรงและวิ่งหนีออกมาอย่างรวดเร็ว

เมื่อย้อนกลับไปดูบันทึกปากคำดาห์เมอร์ของ FBI ก็จะพบว่าดาห์เมอร์ไม่ได้มีแรงจูงใจที่เกี่ยวกับความโกรธแค้นหรืออยากทำร้ายเหยื่อ แต่เขามองว่าคนเหล่านี้คือสิ่งที่จะเติมเต็มความต้องการอันเห็นแก่ตัวของตัวเองได้ ซึ่งสอดคล้องกับการนิจฉัยทางจิตที่ระบุว่า เขาเป็นพวกไม่มีจิตสำนึกเหมือนกับคนอื่นๆ ในสังคม หลังจากนั้นจึงมีการเสนอให้แวดวงนักจิตวิทยาให้ศึกษาหาแนวทางที่จะช่วยให้คนทั่วไปจับสังเกตความผิดปกติของคนที่มีแนวโน้มจะก่อเหตุ เพื่อจะได้หาทางหลีกเลี่ยงหรือป้องกัน

คดีกราดยิง คุมผู้ก่อเหตุไม่ได้ก็ควรควบคุมอาวุธปืน

กรณีของฆาตกรต่อเนื่องต่างกับกรณีกราดยิงเพราะอย่างหลังนี้มีงานวิจัยในสหรัฐฯบ่งชี้ว่าคนก่อเหตุมักมีประวัติเกี่ยวพันกับการใช้ความรุนแรงการใช้ยาเสพติดคดีทะเลาะวิวาทรวมถึงการแสดงความเห็นในเชิงก้าวร้าวหรือการแถลงอุดมการณ์ทางสังคมและการเมืองบางอย่างแต่คนรอบข้างอาจไม่ตระหนักถึงความผิดปกติ

ถ้าอ้างอิงสถิติของมูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์ของสหรัฐฯ บ่งชี้ว่าระหว่างปี 1966-2020 มีเหตุกราดยิงเกิดขึ้น 402 ครั้ง และ 95.7 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ก่อเหตุเป็นผู้ชาย ซึ่งในจำนวนเหล่านั้น 54.8 เปอร์เซ็นต์ เป็นคนผิวขาว ขณะที่อายุเฉลี่ยของผู้ก่อเหตุกราดยิงอยู่ที่ 33.2 ปี

ประเด็นสำคัญอีกอย่างในการรวบรวมสถิตินี้บ่งชี้ว่า เหตุกราดยิงเกินครึ่ง หรือ 74.6 เปอร์เซ็นต์ เป็นการก่อเหตุโดยใช้ปืนพกซึ่งบริษัทปืนและกลุ่มคนรักปืนยืนยันไม่ยอมให้รัฐบาลกลางออกกฎหมายควบคุมการถือครองปืนประเภทนี้เป็นอันขาด แต่กลุ่มคนต่อต้านปืนก็ชี้ว่าข้อเท็จจริงนี้หักล้างมายาคติของคนรักปืนที่เชื่อว่าผู้ก่อเหตุกราดยิงและมีคนตายจำนวนมากเป็นเพราะอาวุธปืนสงครามไม่ใช่ปืนพกที่คนส่วนใหญ่มีกัน

นอกจากนี้กลุ่มผู้รอดชีวิตจากเหตุกราดยิงรวมถึงครอบครัวผู้สูญเสียในเหตุกราดยิงต่างๆพยายามเรียกร้องให้ทุกรัฐใช้มาตรการกำกับดูแลและตรวจสอบการครอบครองปืนอย่างเข้มงวดกว่าที่เป็นอยู่ทั้งเสนอให้ตรวจสอบประวัติคนซื้อปืนอย่างละเอียดโดยให้มีฐานข้อมูลเชื่อมโยงกันทุกรัฐและให้ควบคุมจำนวนกระสุนปืนที่แต่ละคนควรมีในครอบครองหรือซื้อหา

แต่การรณรงค์เหล่านี้ก็เรื้อรังมาหลายปีพอๆ กับการเรียกร้องสิทธิการทำแท้ง เพราะทุกวันนี้ก็ยังเถียงกันไม่จบและหาข้อตกลงกันไม่ได้ เพราะอุตสาหกรรมปืนเป็นหนึ่งในกิจการที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับนายทุนที่เป็นผู้สนับสนุนนักการเมืองจำนวนไม่น้อย และคนที่รักปืนก็มีเยอะมาก รวมถึงคนที่เชื่อว่ายิ่งมีการก่อเหตุจากปืนมากเท่าไหร่ คนอเมริกันก็ยิ่งควรพกปืนไว้ยิงสวนมากขึ้นเท่านั้นด้วย

อ้างอิง