แค่มีบทสนทนาดีๆ Deep Talk กันวันละนิด ก็ช่วยให้ความสัมพันธ์ลึกซึ้ง แถมสุขใจมากขึ้นด้วย
เรามักสังเกตเห็นหลายคนในโลกออนไลน์มักจะพูดถึงว่า การเจอคนรักที่เราสามารถคุยกันแบบ Deep Talk ได้นั้นถือเป็นเรื่องดีมากๆ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่เราพบเจอจะสามารถทำให้เราคุยกันในรูปแบบ Deep Talk ที่สามารถพาเราดำดิ่งไปกับการพูดคุยกันได้อย่างสบายใจ
แต่ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ‘Deep Talk หรือ การพูดคุยที่ลึกซึ้ง’ ไม่จำเป็นต้องเป็นหัวข้อที่เครียด จริงจัง หรือมีเนื้อหาทางวิชาการเหมือนราวกับอยู่ในงานสัมมนาหนึ่ง แต่เป็นหัวข้ออะไรก็ได้ที่มีสาระในเชิงการแลกเปลี่ยนมุมมอง ประสบการณ์ รวมถึงเปิดเผยตัวตนของกันและกัน เช่น ชีวิตช่วงนี้โอเคไหม มีปัญหาอะไรหรือเปล่า คิดว่าหนังที่ดูล่าสุดเป็นยังไง หรือปัญหาที่เราเผชิญอยู่จะแก้ไขมันยังไงดี เป็นต้น
ทีนี้ MOODY เลยอยากพาทุกคนมาดูว่าการคุยแบบ Deep Talk นั้นมีข้อดี และสามารถกระชับความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดขึ้นได้อย่างไรบ้าง
1. ช่วยในการเชื่อมต่อทางอารมณ์: การสนทนาอย่างลึกซึ้งช่วยสร้างความผูกพันทางอารมณ์ระหว่างคู่สนทนาได้จาก การแบ่งปันความคิด มุมมอง ความรู้สึก ความฝัน แม้แต่ความกลัวในใจแก่กัน และสิ่งนี้เองที่ทำให้ทั้งคู่สามารถเชื่อมต่อในระดับที่ลึกขึ้น เข้าใจโลกภายในของกันและกันมากยิ่งขึ้น รวมถึงได้รับการสนับสนุนทางอารมณ์ในเวลาที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเผชิญกับปัญหา และความท้าทายในชีวิต
2. ส่งเสริมความไว้วางใจและความสนิทสนม: การเปิดอกคุยกันในหัวข้อที่มีความหมาย จะสร้างความไว้วางใจและความใกล้ชิดในความสัมพันธ์ของคุณ เนื่องจากทั้งคู่ได้แบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัว ค่านิยม และความเชื่อ ความเปราะบางทางใจ สิ่งนี้จึงช่วยสร้างพื้นที่ปลอดภัยที่ทั้งคู่รู้สึกว่าได้รับการยอมรับและเข้าใจกัน
3. ทำให้เกิดความเข้าใจและการเอาใจใส่ใจในความสัมพันธ์มากขึ้น: การพูดคุยแบบ Deep Talk ช่วยให้คุณได้รับความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับมุมมอง ประสบการณ์ และแรงจูงใจของคู่สนทนา จึงช่วยส่งเสริมการเอาใจใส่จากการเห็นสิ่งต่างๆ จากมุมมองของทั้งคู่ นำไปสู่การส่งเสริมความเคารพและความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
4. ช่วยแก้ไขความขัดแย้ง: สำหรับชีวิตคู่ การสนทนาอย่างลึกซึ้งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการแก้ไขความขัดแย้งและความไม่ลงรอยกัน การพูดคุยประเด็นที่ละเอียดอ่อนอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา จะช่วยให้ทั้งคู่จัดการกับความเข้าใจผิด หาจุดร่วม และหาทางแก้ไขได้ และช่วยป้องกันความขุ่นเคืองใจ รวมถึงสามารถแก้ไขข้อขัดแย้งได้ดีขึ้น
5. การเติบโตและความเข้ากันได้: เพราะ Deep Talk ช่วยสำรวจเป้าหมายในอนาคต แรงบันดาลใจ และค่านิยมของทั้งคู่ว่าสามารถไปด้วยกันได้หรือเปล่า อีกทั้งยังช่วยคุณสนับสนุนการเติบโตส่วนบุคคล และท้าทายความคิดของกันและกัน เพื่อให้แน่ใจว่าความสัมพันธ์ของคุณสอดคล้องกับค่านิยมและความปรารถนาส่วนตัวกันจริงๆ หรือเปล่า
ซึ่งงานวิจัยมากมายพิสูจน์แล้วว่าคนที่มี Deep Talk มักจะมีความสุขในชีวิตมากกว่า เช่นตัวอย่างของ แมตเธียส เมห์ล (Matthias Mehl) นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแอริโซนา ที่ทดลองให้นักศึกษาสวมอุปกรณ์บันทึกเสียงที่เปิดใช้งานเสียงเพื่อบันทึกการสนทนาประจำวันของพวกเขา พวกเขาแบ่งออกเป็นการพูดคุยเล็กๆ (พูดคุยเกี่ยวกับสภาพอากาศ รายการทีวี หรือกิจกรรมประจำวัน) กับการสนทนาเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันหรือปรัชญาชีวิต (Deep Talk) จากนั้นเมห์ลวัดความสุขและความพึงพอใจในชีวิตของผู้เข้าร่วม
ผลลัพธ์คือ พบว่านักเรียนที่มีส่วนร่วมในการสนทนาอย่างลึกซึ้งมีความสุขมากกว่านักเรียนที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการพูดคุยแบบผิวเผิน เมห์ลแนะนำว่าการสนทนาอย่างลึกซึ้งช่วยให้เราค้นพบความหมายและความสำคัญในชีวิตมากขึ้น และนั่นอาจนำไปสู่ความสุขมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การมีบทสนทนา Deep Talk นั้นไม่จำเป็นแค่กับคนรักเสมอไป แต่เราสามารถเริ่มต้นบทสนทนาอันลึกซึ้งนี้ได้กับทุกความสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือแม้กระทั่งคนที่เพิ่งรู้จักกันก็ตาม หรือกับตัวเองก็ตาม เพราะอีกเหตุผลสำคัญของการพูดคุยอย่างลึกซึ้งนี้คือ ‘ความรู้สึกสุขใจ’ ที่ได้มีบทสนทนาที่ดี และได้รับ ‘แรงบันดาลใจ’ บางอย่างที่สามารถทำให้ต่างคนต่างอยากมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างที่ปรารถนา
แต่พอใช้คำว่า Deep Talk อาจทำให้หลายคนเกร็ง แล้วสงสัยว่าชีวิตนี้เราเคยคุยกับใครแบบลึกซึ้งบ้างไหมนะ ลองสังเกตง่ายๆ ว่าคนที่เวลาเรามีปัญหาแล้วสบายใจที่จะคุยด้วย และมักจะให้คำปรึกษาเราได้ดีนั้นมีใครบ้าง นั่นก็ถือเป็นบทสนทนา Deep Talk ในรูปแบบหนึ่ง หรือคนที่เป็นเซฟโซนให้เราสบายใจที่จะพูดเรื่องใดๆ ก็ตามด้วย ที่สำคัญคือ ต่างฝ่ายต่างต้องเป็นผู้ฟังที่ดีให้แก่กันด้วยนะ
อ้างอิง
- Cut the Small Talk: Deep Conversations Lead to Happiness https://bit.ly/3PEGb1T
- Why We Need to Have Deeper Conversations
https://bit.ly/3NQOHJC