อ่อนแอก็แพ้ไป? ความเป็นไทยที่ยึดมั่นแนวทางนี้ อาจเป็นเหตุผลให้ ‘สูญสิ้นชาติพันธุ์’
บางครั้งการหายสาบสูญของผู้คนไม่ได้หมายถึงการตายจากเสมอไป แต่อาจหมายถึงการถูกกลืนกลายและสูญสิ้นตัวตนดั้งเดิม
ยิ่งในยุคที่คนส่วนใหญ่ยึดถือคติว่า ‘อ่อนแอก็แพ้ไป’ ก็ยิ่งทำให้ชะตากรรมของกลุ่มคนที่ไม่มีปากมีเสียงและไม่ได้เป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมถูกกดทับและเงียบหายไป เพราะไม่สามารถต่อสู้ดิ้นรนจนสังคมมองเห็นหรือรับรู้ถึงการดำรงอยู่ได้
อย่างไรก็ดี สิ่งที่จะสูญหายไปพร้อมอัตลักษณ์หรือตัวตนที่ถูกกลืนกลายก็คือ ‘ความหลากหลายทางวัฒนธรรม’ ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งสำคัญ แต่คนอาจจะไม่ค่อยรู้สึกว่า ‘จำเป็น’ ทั้งที่สิ่งเหล่านี้คือรากเหง้าที่ยึดโยงผู้คนเอาไว้ด้วยกันตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน
อัตลักษณ์มากมายอาจสูญหายด้วยข้อหา ‘ไม่ไทย’
ประเด็นสำคัญเรื่องหนึ่งที่ถูกพูดถึงในปฏิญญาสากลด้านความหลากหลายทางวัฒนธรรมของยูเนสโก (UNESCO Declaration on Cultural Diversity) ที่สมาชิกสหประชาชาติ รวมถึงไทย รับรองร่วมกันไว้ตั้งแต่ปี 2545 คือ การระบุว่า “การลดทอนความหลากหลาย ไม่ว่าจะโดยอุบัติเหตุที่ไม่ตั้งใจ หรือด้วยการออกแบบวัฒนธรรมยุคใหม่ ล้วนแต่เป็นอันตรายต่อประสิทธิภาพและการสร้างแรงขับเคลื่อนสังคม”
สาเหตุที่เป็นอย่างนั้นเพราะผู้เชี่ยวชาญมองว่า การทำความเข้าใจความหลากหลายทางวัฒนธรรมช่วยให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างผู้คนในแต่ละประเทศ ถ้าหากคนส่วนใหญ่ไล่เลียงความสัมพันธ์โยงใยกันได้ ในฐานะคนร่วมภูมิภาคที่เติบโตหรือมีรากเหง้าจากกลุ่มคนหรือความเชื่อที่ใกล้เคียงกันในยุคโบราณ ก่อนเราจะถูกแบ่งแยกด้วยเขตการปกครองและอำนาจอธิปไตยของรัฐสมัยใหม่ ก็อาจจะช่วยลดทอน ‘ความขัดแย้ง’ ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยปัจจุบันได้เช่นกัน
แม้กระทั่งงานวิจัยในยุคหลังของไทยก็มีการพูดคุยกันว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองและนโยบายการสร้างชาติสมัยใหม่หลังปี 2475 ทำให้ผู้คนเชื้อสายต่างๆ ที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์อันหลากหลายในอดีตถูกกลืนกลายด้วยปัจจัยต่างๆ ทั้งการแต่งงาน การโยกย้ายถิ่นฐาน และกระบวนการมอบสัญชาติไทยที่นำไปสู่การ ‘ลบ–ลืม–และมองข้าม’ วัฒนธรรมย่อยของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ไปอย่างน่าเสียดาย
อีกประเด็นหนึ่งซึ่งถูกอ้างอิงในงานวิจัย ‘กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย’ ที่เพิ่งจะเผยแพร่ในปี 2564 โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกว.) ระบุว่า กระบวนการสร้างชาติของรัฐไทยตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา พยายามประกอบสร้างอัตลักษณ์ความเป็นไทยจากส่วนกลาง ซึ่งรวมถึงการ ‘สวมทับอัตลักษณ์ส่วนกลาง’ ให้กับกลุ่มคนต่างๆ ในประเทศไทย ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าต่างๆ ที่มีวัฒนธรรมความเชื่อดั้งเดิมมายาวนาน (แต่แตกต่างจากความเชื่อของคนส่วนกลาง) ถูกตัดสินว่า ‘ไม่ไทย’ และถูกกดดันให้ยอมรับความเป็นไทยในนิยามของรัฐ ซึ่งมีการกำหนดค่ามาตรฐานโดยยึดโยงกับระบบราชการที่ไม่ได้คำนึงถึงอัตลักษณ์ท้องถิ่นเท่าที่ควร
ผลจากการกลืนกลายกลุ่มชาติพันธุ์หรือชนพื้นเมืองจำนวนมาก ทำให้คนกลุ่มนี้เหมือนถูกบีบให้ตัดขาดจากรากเหง้าของตัวเอง แต่ก็ไม่อาจผนวกรวมกับอัตลักษณ์ส่วนกลางได้อย่างราบรื่น เพราะความคิดความเชื่อและภาษา–วัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกัน ทำให้พวกเขาถูกมองหรือตัดสินว่า ‘เป็นอื่น’ จากคนในสังคมไทยอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะคนกลุ่มน้อยที่ไม่ได้มีอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจหรือทรัพยากร
สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ ‘คนไทยเชื้อสายจีน’ ที่ในอดีตก็ถูกมองอย่างไม่ไว้ใจจาก ‘รัฐไทย’ เช่นกัน แต่คนกลุ่มนี้มีความเชื่อมโยงกับประเทศมหาอำนาจ ทำให้ปัจจุบันกลายเป็นประชากรที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจและสังคมอีกกลุ่มหนึ่ง และถูกยอมรับว่า ‘เป็นไทย’ ได้ง่ายกว่ากลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมที่แม้จะมีหลักฐานบ่งชี้ว่าอยู่ในไทยมาเนิ่นนาน (และบางกลุ่มอาจจะนานกว่ากลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลไท–ไตที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ในทุกวันนี้) ยังคงถูกเรียกว่า ‘ชนกลุ่มน้อย’ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชาติพันธ์ุในที่ราบสูงทางภาคเหนือ, ชาวมอแกน–มอแกลน ที่ถูกรัฐไทยเรียกว่า ‘ชาวเล’ รวมถึงชาวมลาบรี ที่รัฐไทยเคยเรียกพวกเขาว่า ‘ซาไก’
งานวิจัยของ สกว. บอกด้วยว่า ความพยายามที่จะสวมทับอัตลักษณ์ที่ราชการกำหนดให้กับกลุ่มคนต่างๆ ในประเทศไทย มีผลข้างเคียงให้เกิด ‘อคติทางชาติพันธุ์’ ฝังใจคนไทยที่อยู่ในส่วนกลางหรือเชื่อมโยงกับการปกครองส่วนกลาง ทำให้การมองกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าต่างๆ ถูกเคลือบด้วยอคติที่ยากจะลบเลือน
ตัวตนที่สูญหายทำให้ ‘ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ’
ถ้าถามว่า การมองข้ามหรือการมองไม่เห็นความสำคัญของกลุ่มชาติพันธุ์หรือคนกลุ่มน้อยจะมีผลต่อสังคมอย่างไร ให้ลองนึกถึง ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ ที่เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งในอดีต โดยเฉพาะการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวและชาวโรมาของกองทัพนาซีเยอรมัน คงไม่ผิดความจริงนักถ้าจะบอกว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากความเชื่ออันไร้เหตุผลว่า ผู้สืบเชื้อสายอารยันเท่านั้นที่เหนือกว่าคนกลุ่มอื่นๆ จนนำไปสู่การกวาดล้างหรือกำจัดชนชาติที่ถูกตีตราว่า ‘ไม่สำคัญ’ หรือ ‘ไม่จำเป็น’ ต่อโลกนี้
คำถามต่อมาก็คือว่า ถ้ารัฐสมัยใหม่ในปัจจุบันยังมองไม่เห็น–ไม่ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของผู้คนและวัฒนธรรมที่หลากหลายก็อาจจะทำให้เกิดการสูญสิ้นชาติพันธุ์ซ้ำรอยเดิมใช่หรือไม่ ด้วยเหตุนี้ หลายๆ ประเทศที่เรียนรู้จากอดีตจึงพยายามจะย้ำว่าความหลากหลายและการรักษาพหุวัฒนธรรมนั้นเป็นหนึ่งในทางรอดของมนุษยชาติ
แต่กว่าจะรู้ซึ้งถึงความสำคัญของความหลากหลาย ก็มีกลุ่มชาติพันธุ์และวัฒนธรรมย่อยมากมายที่ถูกกลืนกลายหายไป โดยกรณีของไทยอาจมองเห็นได้ชัดจากระบบการศึกษาที่ขาดการตระหนักรู้และเคารพในชาติพันธุ์กลุ่มน้อย เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยมีการบรรจุภาษาท้องถิ่นลงไปในหลักสูตรใดๆ และครูผู้สอนก็ถูกบังคับให้สอนด้วยภาษากลาง ทำให้สังคมขาดความอ่อนไหวและไม่ค่อยเข้าใจวัฒนธรรมที่อยู่นอกเหนือความคุ้นชินของตัวเอง
การไม่รู้ข้อมูลเหล่านี้นำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนของคนท้องถิ่น รวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่า ซึ่งกรณีของคนกลุ่มหลัง เห็นได้จากที่เคยมีความพยายามจากหน่วยงานภาครัฐบางส่วนที่ทำให้วัฒนธรรมชนเผ่ากลายเป็น ‘สินค้า’ รวมถึงการทำให้ชุมชนของพวกเขากลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเป็นจุดขายที่ทำกำไร
อีกประเด็นหนึ่งที่ยูเนสโกเตือนมาตั้งแต่เริ่มต้นเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ใหม่ๆ ก็คือ การเฝ้าระวังการสูญหายไปของภาษาต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งแม้ว่าการสูญหายนี้จะไม่ได้เกิดจากการล้มหายตายจากหรือการสูญสิ้นชาติพันธุ์ของคนที่พูดภาษานั้นโดยตรง แต่ก็มีการกลืนกลายทางอัตลักษณ์และวัฒนธรรม ส่งผลให้คนที่เคยพูดภาษาเหล่านั้นค่อยๆ ถูกตัดขาดจากรากเหง้าของตัวเอง ซึ่งเมื่อคนยุคหลังไม่เข้าใจภาษา ก็ไม่อาจเชื่อมโยงกับสิ่งที่บอกเล่าต่อกันมาจากอดีตได้
ยูเนสโกระบุว่า มีภาษาราว 6,000 ภาษาทั่วโลกที่เสี่ยงสูญหายในเวลาอีกไม่เกิน 100 ปี ซึ่งสิ่งที่จะสูญหายไปด้วยก็คือ ‘ภูมิปัญญา’ ที่ไร้การบันทึก โดยกรณีของไทย ยูเนสโกระบุไว้ในรายงานปี 2562 ว่า ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ท้องถิ่นราว 25 ภาษา ‘เสี่ยงสูญหาย’ และภาษาหนึ่งที่สูญหายไปแล้วถาวร เพราะไม่มีคนพูดหรือเข้าใจได้อีกต่อไปก็คือ ‘ภาษาพะล็อก’ (Phalog) ที่เคยพูดกันทางเหนือของไทย
ปัจจุบันประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่ากว่า 60 กลุ่ม และมีประชากรรวมกันกว่า 6 ล้านคน ถ้าพวกเขาไม่ได้ถูกรวมไว้ในการพิจารณาหรือการวางกรอบนโยบายของรัฐบาลก็อาจจะกลายเป็นชนกลุ่มน้อย ‘ชายขอบ’ ที่เข้าไม่ถึงโอกาสทางการพัฒนาและการกำหนดชะตากรรมของตัวเอง ซึ่งก็จะเท่ากับว่าไทยอาจสูญเสียทรัพยากรบุคคลที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนประเทศไปอย่างน่าเสียดาย
ที่สำคัญคือคนกลุ่มนี้ไม่ได้สูญหายไปเพราะ ‘อ่อนแอ’ แต่เป็นเพราะพวกเขาถูกกดทับและกลืนกลายด้วยระบบและโครงสร้างทางสังคมที่มีอำนาจมากกว่า
แคมเปญ #โคตรไทย จาก BrandThink และ ThaiPBS ชวนคุณร่วมค้นหาและเข้าใจใน ‘ความเป็นไทย’ ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายและอาจไม่ได้มีแต่ในตำรา ย้อนกลับไปเข้าใจเรื่องราวของ ‘เรา’ ตั้งแต่ก่อนคำว่า ‘ไทย’ จะถือกำเนิด เพื่อตอบคำถามโลกแตกว่าสุดท้ายแล้ว ‘ไทยแท้’ มีจริงไหม?
มาร่วมถอดรหัส ‘อะไรคือไทยแท้?’ จากจุดเริ่มต้น จากมนุษย์โบราณอายุหมื่นปี จากถ้อยคำและภาษามากมาย จากชาติพันธุ์ที่หลากหลาย จากเม็ดเลือดในร่างกาย และเข้าใจเรื่องราวการเดินทางว่าเรา ‘เป็นไทย’ อย่างในทุกวันนี้ได้อย่างไร ผ่านการรวบรวมข้อมูลทางวิชาการ หลักฐานทางโบราณคดีในสารคดี ‘เธอ เขา เรา ใคร’ ให้เข้าใจใน 10 นาที มาร่วมเดินทางไปกับเราได้ที่ www.thaipbs.or.th/CodeThai
เข้าใจ ‘ความเป็นไทย’ ในมิติทางสังคมกันให้มากยิ่งขึ้น จากการตั้งคำถาม มุมมอง ความคิดเห็น ข้อมูลที่แตกต่าง หลากหลาย ของผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ บุคคลที่น่าสนใจ ที่ https://thinkster.brandthink.me/campaign/code-thai
อ้างอิง
- TSRI (สกว.) กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย. https://bit.ly/3sLItPp
- UNESCO. Universal Declaration on Cultural Diversity: a vision, a conceptual platform, a pool of ideas for implementation, a new paradigm. https://bit.ly/3BvHOpd
- ภัททิยา ยิมเรวัต. ชาติพันธุ์และชื่อกลุ่มชาติพันธุ์. วารสารรักษ์วัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก. ฉบับที่ 2 ปีที่ 3 พฤษภาคม–สิงหาคม 2555. https://bit.ly/3gT1ObX
- ธัญลักษณ์ กรมสุริยศักดิ์. การสัมมนาเครือข่ายรักษ์วัฒนธรรมภาคเหนือ. วารสารรักษ์วัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก. ฉบับที่ 2 ปีที่ 3 พฤษภาคม–สิงหาคม 2555. https://bit.ly/3gT1ObX
- Prachatai. มากกว่า 20 ภาษาในไทยเสี่ยงเป็น “ภาษาสาบสูญ” จากข้อมูลยูเนสโก. https://bit.ly/3LIfHYy