6 Min

อ่อนแอก็แพ้ไป? ความเป็นไทยที่ยึดมั่นแนวทางนี้ อาจเป็นเหตุผลให้ ‘สูญสิ้นชาติพันธุ์’

6 Min
787 Views
25 Jul 2022

บางครั้งการหายสาบสูญของผู้คนไม่ได้หมายถึงการตายจากเสมอไป แต่อาจหมายถึงการถูกกลืนกลายและสูญสิ้นตัวตนดั้งเดิม 

ยิ่งในยุคที่คนส่วนใหญ่ยึดถือคติว่าอ่อนแอก็แพ้ไปก็ยิ่งทำให้ชะตากรรมของกลุ่มคนที่ไม่มีปากมีเสียงและไม่ได้เป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมถูกกดทับและเงียบหายไป เพราะไม่สามารถต่อสู้ดิ้นรนจนสังคมมองเห็นหรือรับรู้ถึงการดำรงอยู่ได้

อย่างไรก็ดี สิ่งที่จะสูญหายไปพร้อมอัตลักษณ์หรือตัวตนที่ถูกกลืนกลายก็คือความหลากหลายทางวัฒนธรรมซึ่งนับว่าเป็นสิ่งสำคัญ แต่คนอาจจะไม่ค่อยรู้สึกว่าจำเป็นทั้งที่สิ่งเหล่านี้คือรากเหง้าที่ยึดโยงผู้คนเอาไว้ด้วยกันตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน 

อัตลักษณ์มากมายอาจสูญหายด้วยข้อหาไม่ไทย

ประเด็นสำคัญเรื่องหนึ่งที่ถูกพูดถึงในปฏิญญาสากลด้านความหลากหลายทางวัฒนธรรมของยูเนสโก (UNESCO Declaration on Cultural Diversity) ที่สมาชิกสหประชาชาติ รวมถึงไทย รับรองร่วมกันไว้ตั้งแต่ปี 2545 คือ การระบุว่าการลดทอนความหลากหลาย ไม่ว่าจะโดยอุบัติเหตุที่ไม่ตั้งใจ หรือด้วยการออกแบบวัฒนธรรมยุคใหม่ ล้วนแต่เป็นอันตรายต่อประสิทธิภาพและการสร้างแรงขับเคลื่อนสังคม 

สาเหตุที่เป็นอย่างนั้นเพราะผู้เชี่ยวชาญมองว่า การทำความเข้าใจความหลากหลายทางวัฒนธรรมช่วยให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างผู้คนในแต่ละประเทศ ถ้าหากคนส่วนใหญ่ไล่เลียงความสัมพันธ์โยงใยกันได้ ในฐานะคนร่วมภูมิภาคที่เติบโตหรือมีรากเหง้าจากกลุ่มคนหรือความเชื่อที่ใกล้เคียงกันในยุคโบราณ ก่อนเราจะถูกแบ่งแยกด้วยเขตการปกครองและอำนาจอธิปไตยของรัฐสมัยใหม่ ก็อาจจะช่วยลดทอนความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในยุคสมัยปัจจุบันได้เช่นกัน

แม้กระทั่งงานวิจัยในยุคหลังของไทยก็มีการพูดคุยกันว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองและนโยบายการสร้างชาติสมัยใหม่หลังปี 2475 ทำให้ผู้คนเชื้อสายต่างๆ ที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์อันหลากหลายในอดีตถูกกลืนกลายด้วยปัจจัยต่างๆ ทั้งการแต่งงาน การโยกย้ายถิ่นฐาน และกระบวนการมอบสัญชาติไทยที่นำไปสู่การลบลืมและมองข้ามวัฒนธรรมย่อยของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ไปอย่างน่าเสียดาย

อีกประเด็นหนึ่งซึ่งถูกอ้างอิงในงานวิจัยกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยที่เพิ่งจะเผยแพร่ในปี 2564 โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกว.) ระบุว่า กระบวนการสร้างชาติของรัฐไทยตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา พยายามประกอบสร้างอัตลักษณ์ความเป็นไทยจากส่วนกลาง ซึ่งรวมถึงการสวมทับอัตลักษณ์ส่วนกลางให้กับกลุ่มคนต่างๆ ในประเทศไทย ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าต่างๆ ที่มีวัฒนธรรมความเชื่อดั้งเดิมมายาวนาน (แต่แตกต่างจากความเชื่อของคนส่วนกลาง) ถูกตัดสินว่าไม่ไทยและถูกกดดันให้ยอมรับความเป็นไทยในนิยามของรัฐ ซึ่งมีการกำหนดค่ามาตรฐานโดยยึดโยงกับระบบราชการที่ไม่ได้คำนึงถึงอัตลักษณ์ท้องถิ่นเท่าที่ควร

ผลจากการกลืนกลายกลุ่มชาติพันธุ์หรือชนพื้นเมืองจำนวนมาก ทำให้คนกลุ่มนี้เหมือนถูกบีบให้ตัดขาดจากรากเหง้าของตัวเอง แต่ก็ไม่อาจผนวกรวมกับอัตลักษณ์ส่วนกลางได้อย่างราบรื่น เพราะความคิดความเชื่อและภาษาวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกัน ทำให้พวกเขาถูกมองหรือตัดสินว่าเป็นอื่นจากคนในสังคมไทยอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะคนกลุ่มน้อยที่ไม่ได้มีอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจหรือทรัพยากร

สิ่งที่เห็นได้ชัดคือคนไทยเชื้อสายจีนที่ในอดีตก็ถูกมองอย่างไม่ไว้ใจจากรัฐไทยเช่นกัน แต่คนกลุ่มนี้มีความเชื่อมโยงกับประเทศมหาอำนาจ ทำให้ปัจจุบันกลายเป็นประชากรที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจและสังคมอีกกลุ่มหนึ่ง และถูกยอมรับว่าเป็นไทยได้ง่ายกว่ากลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมที่แม้จะมีหลักฐานบ่งชี้ว่าอยู่ในไทยมาเนิ่นนาน (และบางกลุ่มอาจจะนานกว่ากลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลไทไตที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ในทุกวันนี้) ยังคงถูกเรียกว่าชนกลุ่มน้อยไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชาติพันธ์ุในที่ราบสูงทางภาคเหนือ, ชาวมอแกนมอแกลน ที่ถูกรัฐไทยเรียกว่าชาวเลรวมถึงชาวมลาบรี ที่รัฐไทยเคยเรียกพวกเขาว่าซาไก 

งานวิจัยของ สกว. บอกด้วยว่า ความพยายามที่จะสวมทับอัตลักษณ์ที่ราชการกำหนดให้กับกลุ่มคนต่างๆ ในประเทศไทย มีผลข้างเคียงให้เกิดอคติทางชาติพันธุ์ฝังใจคนไทยที่อยู่ในส่วนกลางหรือเชื่อมโยงกับการปกครองส่วนกลาง ทำให้การมองกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าต่างๆ ถูกเคลือบด้วยอคติที่ยากจะลบเลือน

ตัวตนที่สูญหายทำให้ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ

ถ้าถามว่า การมองข้ามหรือการมองไม่เห็นความสำคัญของกลุ่มชาติพันธุ์หรือคนกลุ่มน้อยจะมีผลต่อสังคมอย่างไร ให้ลองนึกถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งในอดีต โดยเฉพาะการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวและชาวโรมาของกองทัพนาซีเยอรมัน คงไม่ผิดความจริงนักถ้าจะบอกว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากความเชื่ออันไร้เหตุผลว่า ผู้สืบเชื้อสายอารยันเท่านั้นที่เหนือกว่าคนกลุ่มอื่นๆ จนนำไปสู่การกวาดล้างหรือกำจัดชนชาติที่ถูกตีตราว่าไม่สำคัญหรือไม่จำเป็นต่อโลกนี้

คำถามต่อมาก็คือว่า ถ้ารัฐสมัยใหม่ในปัจจุบันยังมองไม่เห็นไม่ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของผู้คนและวัฒนธรรมที่หลากหลายก็อาจจะทำให้เกิดการสูญสิ้นชาติพันธุ์ซ้ำรอยเดิมใช่หรือไม่ ด้วยเหตุนี้ หลายๆ ประเทศที่เรียนรู้จากอดีตจึงพยายามจะย้ำว่าความหลากหลายและการรักษาพหุวัฒนธรรมนั้นเป็นหนึ่งในทางรอดของมนุษยชาติ

แต่กว่าจะรู้ซึ้งถึงความสำคัญของความหลากหลาย ก็มีกลุ่มชาติพันธุ์และวัฒนธรรมย่อยมากมายที่ถูกกลืนกลายหายไป โดยกรณีของไทยอาจมองเห็นได้ชัดจากระบบการศึกษาที่ขาดการตระหนักรู้และเคารพในชาติพันธุ์กลุ่มน้อย เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยมีการบรรจุภาษาท้องถิ่นลงไปในหลักสูตรใดๆ และครูผู้สอนก็ถูกบังคับให้สอนด้วยภาษากลาง ทำให้สังคมขาดความอ่อนไหวและไม่ค่อยเข้าใจวัฒนธรรมที่อยู่นอกเหนือความคุ้นชินของตัวเอง

การไม่รู้ข้อมูลเหล่านี้นำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนของคนท้องถิ่น รวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่า ซึ่งกรณีของคนกลุ่มหลัง เห็นได้จากที่เคยมีความพยายามจากหน่วยงานภาครัฐบางส่วนที่ทำให้วัฒนธรรมชนเผ่ากลายเป็นสินค้ารวมถึงการทำให้ชุมชนของพวกเขากลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเป็นจุดขายที่ทำกำไร

อีกประเด็นหนึ่งที่ยูเนสโกเตือนมาตั้งแต่เริ่มต้นเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ใหม่ๆ ก็คือ การเฝ้าระวังการสูญหายไปของภาษาต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งแม้ว่าการสูญหายนี้จะไม่ได้เกิดจากการล้มหายตายจากหรือการสูญสิ้นชาติพันธุ์ของคนที่พูดภาษานั้นโดยตรง แต่ก็มีการกลืนกลายทางอัตลักษณ์และวัฒนธรรม ส่งผลให้คนที่เคยพูดภาษาเหล่านั้นค่อยๆ ถูกตัดขาดจากรากเหง้าของตัวเอง ซึ่งเมื่อคนยุคหลังไม่เข้าใจภาษา ก็ไม่อาจเชื่อมโยงกับสิ่งที่บอกเล่าต่อกันมาจากอดีตได้

ยูเนสโกระบุว่า มีภาษาราว 6,000 ภาษาทั่วโลกที่เสี่ยงสูญหายในเวลาอีกไม่เกิน 100 ปี ซึ่งสิ่งที่จะสูญหายไปด้วยก็คือภูมิปัญญาที่ไร้การบันทึก โดยกรณีของไทย ยูเนสโกระบุไว้ในรายงานปี 2562 ว่า ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ท้องถิ่นราว 25 ภาษาเสี่ยงสูญหายและภาษาหนึ่งที่สูญหายไปแล้วถาวร เพราะไม่มีคนพูดหรือเข้าใจได้อีกต่อไปก็คือภาษาพะล็อก’ (Phalog) ที่เคยพูดกันทางเหนือของไทย

ปัจจุบันประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่ากว่า 60 กลุ่ม และมีประชากรรวมกันกว่า 6 ล้านคน ถ้าพวกเขาไม่ได้ถูกรวมไว้ในการพิจารณาหรือการวางกรอบนโยบายของรัฐบาลก็อาจจะกลายเป็นชนกลุ่มน้อยชายขอบที่เข้าไม่ถึงโอกาสทางการพัฒนาและการกำหนดชะตากรรมของตัวเอง ซึ่งก็จะเท่ากับว่าไทยอาจสูญเสียทรัพยากรบุคคลที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนประเทศไปอย่างน่าเสียดาย

ที่สำคัญคือคนกลุ่มนี้ไม่ได้สูญหายไปเพราะอ่อนแอแต่เป็นเพราะพวกเขาถูกกดทับและกลืนกลายด้วยระบบและโครงสร้างทางสังคมที่มีอำนาจมากกว่า

แคมเปญ #โคตรไทย จาก BrandThink และ ThaiPBS ชวนคุณร่วมค้นหาและเข้าใจในความเป็นไทยที่เต็มไปด้วยความหลากหลายและอาจไม่ได้มีแต่ในตำรา ย้อนกลับไปเข้าใจเรื่องราวของเราตั้งแต่ก่อนคำว่าไทยจะถือกำเนิด เพื่อตอบคำถามโลกแตกว่าสุดท้ายแล้วไทยแท้มีจริงไหม?

มาร่วมถอดรหัสอะไรคือไทยแท้?’ จากจุดเริ่มต้น จากมนุษย์โบราณอายุหมื่นปี จากถ้อยคำและภาษามากมาย จากชาติพันธุ์ที่หลากหลาย จากเม็ดเลือดในร่างกาย และเข้าใจเรื่องราวการเดินทางว่าเราเป็นไทยอย่างในทุกวันนี้ได้อย่างไร ผ่านการรวบรวมข้อมูลทางวิชาการ หลักฐานทางโบราณคดีในสารคดีเธอ เขา เรา ใครให้เข้าใจใน 10 นาที มาร่วมเดินทางไปกับเราได้ที่ www.thaipbs.or.th/CodeThai

เข้าใจ  ความเป็นไทย  ในมิติทางสังคมกันให้มากยิ่งขึ้น จากการตั้งคำถาม มุมมอง ความคิดเห็น ข้อมูลที่แตกต่าง หลากหลาย ของผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ บุคคลที่น่าสนใจ ที่  https://thinkster.brandthink.me/campaign/code-thai

อ้างอิง

  • TSRI (สกว.) กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย. https://bit.ly/3sLItPp
  • UNESCO. Universal Declaration on Cultural Diversity: a vision, a conceptual platform, a pool of ideas for implementation, a new paradigm. https://bit.ly/3BvHOpd
  • ภัททิยา ยิมเรวัต. ชาติพันธุ์และชื่อกลุ่มชาติพันธุ์. วารสารรักษ์วัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก. ฉบับที่ 2 ปีที่ 3 พฤษภาคมสิงหาคม 2555. https://bit.ly/3gT1ObX
  • ธัญลักษณ์ กรมสุริยศักดิ์. การสัมมนาเครือข่ายรักษ์วัฒนธรรมภาคเหนือ. วารสารรักษ์วัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก. ฉบับที่ 2 ปีที่ 3 พฤษภาคมสิงหาคม 2555. https://bit.ly/3gT1ObX
  • Prachatai. มากกว่า 20 ภาษาในไทยเสี่ยงเป็นภาษาสาบสูญจากข้อมูลยูเนสโก. https://bit.ly/3LIfHYy