ผลกระทบจาก ‘Climate Change’ อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราในอีกไม่กี่ทศวรรษ

6 Min
1220 Views
17 Jun 2022

ทุกวันนี้หลายคนคงคุ้นชินกับคำว่า ‘สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง’ หรือ ‘การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ’ ซึ่งศัพท์ทั้งสองแปลมาจากคำว่า ‘Weather Change’ และ ‘Climate Change’ ตามลำดับ 

นักวิทยาศาสตร์มักจะพูดกันว่าโลกเรากำลังเผชิญกับ Climate Change แต่ด้วยความคล้ายคลึงกันระหว่างศัพท์ทั้งสองในภาษาอังกฤษ ทำให้เมื่อดูเผินๆ แล้วอาจมีความหมายเหมือนกัน นั่นคือ ‘สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง’ ‘โลกร้อน’ ‘อากาศแปรปรวน’ แต่ไม่ว่าจะเรียกว่าอะไรก็ตาม สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังพูดถึง Climate Change นั้นมันคือของจริง

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ‘สภาพอากาศ’ (weather) กับ ‘ภูมิอากาศ’ (climate) นั้นไม่ใช่สิ่งเดียวกัน สภาพอากาศคือสภาพของบรรยากาศในช่วงเวลาสั้นๆ เช่น วันนั้น สัปดาห์นั้น เดือนนั้น ขณะที่ภูมิอากาศคือสภาพของบรรยากาศเฉลี่ยของพื้นที่พื้นที่หนึ่งในช่วงระยะเวลายาวนานหลักปี ทศวรรษ หรือศตวรรษ 

ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่เรียกผู้ที่พยายามคาดการณ์สภาพอากาศให้เราฟังทุกวันว่า ‘นักพยากรณ์ภูมิอากาศ’ (Climatologist) แต่เป็น ‘นักพยากรณ์อากาศ’ (Meteorologist) หรือ ‘นักอุตุนิยมวิทยา’ นั่นเอง

 

ความแตกต่างระหว่าง weather และ climate (ที่มา: NASA)

 

สภาพอากาศนั้นพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของอากาศในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงของความเร็วและทิศทางลม ปริมาณเมฆ ปริมาณน้ำฝน และพายุ ส่วนภูมิอากาศพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเฉลี่ยในพื้นที่ สภาพอากาศเฉลี่ย และฝนเฉลี่ย ยกตัวอย่างเช่น ในฤดูหนาว หากวันนี้หนาวกว่าเมื่อวาน ก็อาจพูดได้ว่ามันคือการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เช่น อาจเกิดการเคลื่อนตัวของหย่อมความกดอากาศต่ำเข้ามาปกคลุมพื้นที่ (ซึ่งเราอาจจะได้ยินกันบ่อยๆ) แต่หากฤดูหนาวปีนี้หนาวน้อยกว่าฤดูหนาวเมื่อ 10 ปี หรือ 20 ปีก่อน เราอาจพูดได้ว่ามันคือการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ นั่นเอง

 

ภาพแสดงตัวอย่างของ Climate Change ภาพซ้ายคือแผ่นน้ำแข็ง Muir ใน Alaska เมื่อปี 1941 ส่วนภาพขวาคือที่เดียวกันในปี 2004 เมื่อแผ่นน้ำแข็งทั้งหมดละลายกลายเป็นทะเลสาบแทน (ที่มา: USGS)

 

เหตุผลที่เราควรใส่ใจเรื่อง Climate Change ก็เพราะว่า Climate Change นั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ต่างจากสภาพอากาศที่อาจเปลี่ยนแปลงได้แบบกะทันหัน ลองนึกดูว่าครั้งสุดท้ายที่กรมอุตุนิยมวิทยาสามารถพยากรณ์สภาพอากาศได้แบบถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์คือเมื่อไหร่ คำตอบก็คือ…อาจจะไม่มีเลยก็ได้ เพราะสภาพอากาศนั้นเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วจนหลายครั้งการพยากรณ์ก็สามารถผิดได้ 

ขณะที่ภูมิอากาศนั้นเปลี่ยนอย่างช้าๆ ในระยะเวลาที่ยาวนานทำให้เราสามารถพยากรณ์ได้ง่ายกว่า และเมื่อนักวิทยาศาสตร์บอกว่าภูมิอากาศกำลังเปลี่ยน นั่นหมายความว่ามันกำลังเปลี่ยนจริงๆ แล้วอะไรที่กำลังเปลี่ยนบ้าง คำตอบก็คือทุกอย่าง และมันก็เกิดจากมนุษย์นี่เอง หรือเรียกว่า สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงโดยน้ำมือมนุษย์ (Anthropogenic Climate Change)

 

ภาพแสดงการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยโลกระหว่างปี 1880 ถึงปี 2020 (ที่มา: NASA)

 

อนุภาคฝุ่นกำลังฆ่าเราอย่างช้าๆ 

คนไทยอาจจะคุ้นเคยกับการใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันอนุภาคฝุ่นอย่าง PM2.5 และ PM10 ซึ่งย่อมาจากอนุภาคฝุ่น (Particulate Matter) ระดับเล็กกว่า 2.5 ไมโครมิเตอร์ และ 10 ไมโครมิเตอร์ ตามลำดับ ฝุ่นพวกนี้เป็นตัวการในการก่อโรคทางทางเดินหายใจและยังมีกรณีของการเกิดมะเร็งปอดในผู้ที่อยู่ในพื้นที่อนุภาคฝุ่นสูงอีกด้วย เราอาจจะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว อนุภาคฝุ่นก็มีผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศโดยรวมด้วย

ภาพของอนุภาคฝุ่นขณะกำลังเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกเฉียงเหนือจากกล้องบนดาวเทียม NOAA-20 เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2022 (ที่มา: NASA Earth Observatory)

 

ฝุ่นพวกนี้เมื่อมันลอยไปปกคลุมพื้นที่ต่างๆ แล้วอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างกะทันหันได้ โดยเฉพาะฝุ่นที่เรียกว่า Mineral Dust หรือฝุ่นแร่ ซึ่งหากพวกมันไปปกคลุมพื้นที่ที่มีหิมะปกคลุม ก็อาจทำให้เกิดการละลายของหิมะกะทันหันได้ หรือมันอาจจะตกลงไปในแม่น้ำหรือทะเลทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘Algae Bloom’ หรือ ‘Phytoplankton Bloom’ ซึ่งก็คือการเกิดของแพลงก์ตอนพืชอย่างรวดเร็วจนทำให้น้ำทะเลเปลี่ยนสีได้ ซึ่งแพลงก์ตอนพวกนี้อาจผลิตสารพิษทำให้สิ่งมีชีวิตในน้ำล้มตายและทำให้น้ำเน่าเสียได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีน้ำขัง เช่น คูคลองต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร

 

ทำไมอากาศถึงร้อนขึ้นทุกปี

เคยสงสัยไหมว่าทำไมกรุงเทพมหานครถึงได้ร้อนอบอ้าวกว่าพื้นที่ต่างจังหวัด คำอธิบายอาจมีหลากหลาย ตั้งแต่ตำแหน่งที่ตั้งของเมืองไปจนถึงปัญหามลภาวะอย่างเช่นการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เราเรียกสิ่งนี้รวมๆ ว่า ปรากฏการณ์ Urban Heat Island (UHI) หรือแปลตรงตัวก็คือ ภาวะเกาะร้อนในเมือง

ภาพแสดงอุณหภูมิใกล้กรุงเดลี ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2022 ด้วยข้อมูลจากอุปกรณ์ ECOSTRESS (ที่มา: NASA/JPL-Caltech)

 

ปัจจัยต่อการเกิด UHI มีหลายอย่าง อย่างแรกก็คือสีของพื้นผิว ในเมืองกรุงเทพฯ มีถนนที่เป็นสีดำอยู่มากจากยางมะตอยหรือคอนกรีต ซึ่งทั้งสองสามารถดูดซับความร้อนจากดวงอาทิตย์ได้เป็นอย่างดี เมื่อตกกลางคืน ความร้อนเหล่านี้ก็จะถูกปลดปล่อยออกมาทำให้อุณหภูมิในตอนกลางคืนสูงขึ้น อีกสิ่งหนึ่งก็คือการที่ในเมืองมีพื้นที่สีเขียวน้อย ทำให้ Evapotranspiration หรือการระเหยและการคายน้ำจากพื้นผิวและต้นไม้ลดลง ซึ่ง Evapotranspiration มีส่วนช่วยในการลดอุณหภูมิบริเวณรอบๆ ผ่านปรากฏการณ์ ‘Evaporative Cooling Effect’

ภาพแสดงผังเมืองและอุณหภูมิในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (ที่มา: Keeratikasikorn C & Bonafoni S.)

 

การสร้างตึกสูงในบริเวณเขตมหานครเป็นจำนวนมากยังทำให้กระแสลมซึ่งปกติจะพัดผ่านและลดอุณหภูมิอากาศลงผ่านการพาความร้อน (Heat Convection) ทั้งยังพัดพาความร้อนและมลพิษที่ปลดปล่อยออกมาจากภายในเมืองนั้นถูกรบกวนด้วย ทำให้มลพิษที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากภายในเมืองไม่สามารถหนีไปไหนได้แต่จะลอยอยู่เหนือเมืองต่อไป คล้ายกับเกาะกลางทะเลที่ ‘คน’ (มลพิษและความร้อน) ภายใน ‘เกาะ’ (เมือง) ไม่สามารถเดินทางไปไหนได้โดยที่ไม่มี ‘เรือ’ (ลม)

 

ภาพแสดงปรากฏการณ์ Urban Heat Island ในเมืองแต่ละรูปแบบ (ที่มา: TheNewPhobia/WikiCommons)

ความสัมพันธ์ในระบบภูมิอากาศซึ่งเป็น ‘ระบบอลวน’ (Chaotic System) นั้น มีหลายปัจจัยมากที่ส่งผลถึงกันและกัน ยกตัวอย่างงานวิจัยล่าสุดซึ่งพบความสัมพันธ์ระหว่างความชื้นกับการระบาดของไข้หวัด โดยพบว่ายิ่งความชื้นในอากาศต่ำเท่าใด โอกาสในการติดเชื้อไข้หวัดยิ่งเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามโอกาสนี้ไม่ได้สม่ำเสมอกันตลอดในแต่ละพื้นที่ แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนใน Chaotic System

 

สภาพอากาศสุดขั้ว (Extreme Weather) 

‘Extreme Weather’ หรือ ‘สภาพอากาศสุดขั้ว’ ซึ่งประกอบไปด้วยสภาพอากาศแบบใดก็ตามที่มากหรือน้อยเกินไปแบบสุดขั้ว เช่น ร้อนแบบสุดขั้วหรือคลื่นความร้อน (Heat Waves) ที่เราเคยได้ยินกัน หรือเย็นแบบสุดขั้ว (Cold Waves) นอกจากนี้ Extreme Weather ยังอาจก่อให้เกิดพายุรุนแรงได้อีกด้วย งานวิจัยพบว่า Climate Change เพิ่มโอกาสและความรุนแรงในการเกิด Extreme Weather หลายชนิด เช่น เฮอร์ริเคน พายุไซโคลน ฝนตกหนัก น้ำท่วม และดินถล่ม

แผนที่แสดงเส้นทางของพายุหมุนเขตร้อนทั่วโลกระหว่างปี 1985-2005 เรียงสีตาม Saffir-Simpson Hurricane Scale (ที่มา: NASA)

 

ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา พื้นผิวของโลกพบเจอกับคลื่นความร้อนถี่ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หลายพื้นที่เกิดปรากฏการณ์ฟ้าฝนสลับขั้ว เช่น พื้นที่หนึ่งฝนตกหนักมาก แต่อีกพื้นที่หนึ่งกลับแห้งแล้ง ทำให้เกิดภัยแล้ง ไฟป่า และความเสียหายทางเกษตรกรรม 

จากการจำลองโมเดล Heat Wave พบว่า ภายในปี 2100 นั้น โอกาสเกิด Heat Wave อย่างรุนแรง 3 วันนั้นจะเพิ่มขึ้น 2-4 เท่าจากในปัจจุบัน นอกจากนี้ฝนตกรุนแรง 3 วันจะเกิดขึ้นบ่อยกว่าเดิม 10 เปอร์เซ็นต์ – 50 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามทุกวันนี้ Extreme Weather ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรรมอย่างไร่ข้าวโพดแล้ว โดยความเสี่ยงที่ฤดูปลูกข้าวโพดจะล้มเหลวนี้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของ 3 ใน 5 ของพื้นที่ปลูกข้าวโพด

ภาพของข้าวโพดที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งในปี 2012 ( ที่มา: USDA)

 

ทั้งหมดนี้จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า โลกของเรากำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม เราจะไม่ได้เป็นเจเนอเรชั่นที่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่จะเป็นรุ่นลูกรุ่นหลานของเราและรุ่นต่อๆ ไปที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบอื่นๆ ที่ตามมากับการเปลี่ยนแปลง  

เราอาจจะได้เห็นโลกของเราเป็นเหมือนโลกในภาพยนตร์ Interstellar (2014) เมื่อโลกทั้งใบเต็มไปด้วยพายุฝุ่นและความแห้งแล้ง ผลผลิตทางเกษตรกรรมได้รับผลกระทบจากโรคระบาดทางพืช และการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศส่วนใหญ่ก็เกิดจากการกระทำของมนุษย์ (Anthropogenic Causes) เช่น การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นจำนวนมาก การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล การปล่อยสารทำลายโอโซน (Ozone-Depleting Substances: ODS) การทำลายป่าไม้ 

และการจะหยุดการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ ก็ต้องเริ่มที่มนุษย์นั่นเอง

อ้างอิง