“หนังตลกแม่งไม่เคยได้รับคุณค่า ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม” ความในใจของ ‘ตุ๋ย’ พฤกษ์ เอมะรุจิ กับศาสตร์แห่งการทำหนังตลก
ศาสตร์แห่งการทำหนังตลกในแบบของ ‘ตุ๋ย’ พฤกษ์ เอมะรุจิ
ที่ในปี 2565 นี้น่าจะเรียกได้ว่า เป็นปีทองของผู้กำกับอารมณ์ดีผู้นี้ เพราะหนังของเขาเข้าฉายในปีนี้พร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ตั้งแต่ ‘ใจฟูสตอรี่’ ‘The Lost Lotteries ปฏิบัติการกู้หวย’ และที่กำลังลงโรงฉายอยู่ในตอนนี้กับ ‘บัวผันฟันยับ’
ในยุคสมัยที่ ความตลก หาได้ง่ายตามสื่อโซเชียล และความยากในการเล่นตลกในยุคที่แสนเปราะบาง ซ้ำนักแสดงตลกที่เคยร่วมงานกันจนเป็นนักแสดงที่เข้าขาได้จากไป และเขายังออกตัวว่า “เป็นคนไม่ตลก”
แต่เพราะอะไร เขายังคงมุ่งมั่นที่จะทำหนังตลกต่อไป มาร่วมหาคำตอบของ ‘ศาสตร์แห่งความตลก’ ในบทสัมภาษณ์ครั้งนี้กัน
~ บทที่ 1 โชคชะตาเล่นตลก ได้ทำหนังตลกแบบไม่ได้ตั้งใจ ~
คุณเริ่มต้นทำหนังได้อย่างไร
เอ่อ…ง่ายๆ เลยพี่ยอร์ช (ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร์) ชวนครับ คือก่อนหน้านี้ผมเริ่มต้นจากเขียนบทซิตคอมมาก่อน สมัยอยู่ ‘เอ็กแซ็กท์’ ‘ซีเนริโอ’ ตอนเด็กๆ ก็อยากเป็นผู้กำกับหนังแหละ สมัยนั้นเราก็เป็นพวกเสพนิตยสาร Starpics, เอนเตอร์เทน อะไรพวกนี้ คือเราชอบดูหนังตั้งแต่เด็ก ก็ตั้งคำถามว่า “แล้วมันมีตำแหน่งไหนที่มันได้ทำหนังวะ” ซึ่งผมว่าเด็กทั่วไปก็คงจะรู้แค่ไม่กี่ตำแหน่ง มันก็รู้แค่ผู้กำกับแหละ โดยที่ไม่รู้ว่าผู้กำกับมันเป็นอะไร แต่สุดท้ายก็ดันจับพลัดจับผลูไปเป็นคนเขียนบทก่อน แล้วก็รู้สึกว่า “ไอ้เหี้ยเอ๊ย แค่เขียนบทกูยังเขียนไม่เป็นเลยว่ะ” ก็เลยแบบ…เอาวะ งั้นก็ตั้งเข็มใหม่ว่า เขียนบทให้เป็นก่อนละกัน ให้นายจ้างไม่ด่า ให้คนดูชอบ พอเขียนบทมาสิบปี ก็เลยรู้สึกว่า อยากลองเป็นผู้กำกับบ้าง บังเอิญไปเจอพี่ยอร์ชเข้า แล้วพี่ยอร์ชก็เลยชวนมาทำ ตอนแรกเขาก็ชวนมาทำซิตคอมนั่นแหละ เราก็โอเคๆ ขับรถไปหาเขา ระหว่างทาง พอไปถึงพี่เขาก็บอกว่า “เออ…มีหนังเรื่องหนึ่งอยากให้ทำด้วย” เราก็ตกใจเลย คือพอเริ่มกำกับซิตคอมเป็น มันยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าการทำหนังมันคงไกลเกินเอื้อม แล้วอยู่ๆ มีคนมาชวนแบบง่ายๆ อย่างงี้เลยเหรอวะ พี่ไปเห็นอะไรมาวะ แล้วเราก็แบบไม่กล้า เราบอกเขาตรงๆ เลยว่า “ถ้าพี่ไม่อยากเจ๊งอะ พี่ให้ผมทำซิตคอมเถอะ ผมเชื่อว่าผมทำได้ แต่ถ้าพี่จ้างผมทำหนัง ผมว่าอันตรายฉิบหายเลยนะ” แต่สุดท้ายเขาก็ให้ทำอยู่ดี ก็ลองทำครับ แล้วคือแม่งทำไม่เป็นจริงด้วย (หัวเราะ) ทำเรื่องแรกคือ ‘ป้าแฮปปี้ She ท่าเยอะ’ (2558) คือรู้เลยว่าเราทำหนังไม่เป็นอะ เราเข้าใจผิด คือผมว่าส่วนใหญ่ของคนทำคอนเทนต์ในประเทศเรา เข้าใจผิดว่าทำหนังแม่งเหมือนทำละคร ทำซีรีส์แหละ แค่จอใหญ่ขึ้นเท่านั้นเอง แต่พอมาทำจริงผมรู้สึกว่า…ไม่ใช่ว่ะ มันมีอะไรบางอย่างที่มันคนละศาสตร์กัน มีบางอย่างที่มันอยู่ในซีรีส์ได้ แต่มันไม่อยู่ในหนังไม่ได้ บางอย่างที่อยู่ในหนังแต่อยู่ในซีรีส์ไม่ได้
ซึ่งก็ต้องพูดกันตามตรงว่า หนังเรื่องแรกมันก็ไม่ได้ success มาก
ไม่เวิร์กเลย รู้ตั้งแต่พอมันออกมา เราก็รู้เลยว่าเรากุมมันไม่อยู่ เราทำมันไม่เป็น อืม มันดูไม่เป็นหนังเลยอะ มันดูเป็นอะไรไม่รู้
เพราะมันเป็นความกดดันอะไรหรือเปล่า
ไม่ครับ ผมว่ามันคือความเข้าใจผิดของเด็กน้อยมากๆ แต่พี่ยอร์ชเขาให้โอกาสไง คือพี่ยอร์ชจะเป็นเหมือนพี่เลี้ยง แต่เขาก็จะปล่อยเรา ให้ทำในสิ่งที่อยากทำอะไรงี้ โดยที่เขาก็ไม่ได้มาห้ามแบบ “เฮ้ย ทำอย่างงี้ไม่ได้” หรือเขาไม่ได้มาคอยชี้นิ้วสั่งว่า “เฮ้ย อย่างงี้มันไม่ใช่ว่ะ” อะไรอย่างนี้ ซึ่งแม่งก็เลยไม่ใช่ แล้วมันก็ออกมาแบบอะไรวะเนี่ย
ทุกวันนี้ เอาตรงๆ ถ้าถามว่าทำหนังเป็นไหม ก็ยังจะรู้สึกว่าแม่ง…ก็ยังไม่เป็นอยู่นะ คือเวลาเราดูคนอื่นเขาทำหนัง ก็รู้สึกว่า หูย…หนังเขาเท่จังเลยว่ะ หนังเขาดูเป็นนั้ง…หนัง ของเรามันจะดูเป็นมหกรรมความบันเทิงมากกว่าครับ
ซึ่งเอาจริงๆ คุณเลือกไหมว่า ต้องทำหนังตลก
เออ คนก็ชอบบอกเราแบบนั้น ผมเองก็รู้สึกว่า “เออ กูชอบมันไหมวะ” แต่ผมว่ามันเป็นจังหวะชีวิตของเรา แม่งเลือกไม่ได้หมดทุกคน ซึ่งผมเองก็ไม่ใช่คนที่จะมาเลือกเองว่า “เฮ้ย ฉันอยากทำอย่างนี้เท่านั้นว่ะ” แต่ในเมื่อโอกาสมาเลยลอง แล้วมันดันเวิร์ก ซึ่งก็ไม่แน่ใจด้วยนะ ว่าเวิร์กเพราะฝีมือจริงๆ หรือเวิร์กเพราะโอกาส หรือเวิร์กเพราะห่าอะไรไม่รู้ แต่ว่าพอมันเวิร์ก ก็ทำต่อไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นว่าคนดูชอบ เราทำได้ เอ่อ คนจ้างเราแฮปปี้อะไรอย่างนี้ แล้วสักพักหนึ่งมันก็จะเป็นเหมือนลายเซ็นประทับอะ มันก็หนีไปไหนไม่ได้ คือถ้าจะบอกไปทำหนังผี หนังแอ็กชั่น คนก็จะแบบ… “เฮ้ย จริงเหรอวะ ทำได้รึเปล่า” อะไรอย่างนี้ เออ มันก็เป็นตราประทับไปแล้วครับ
~ บทที่ 2 หยิบความขมขื่นมาทำให้ขบขัน ~
หนัง ‘ไบค์แมน’ มันมีความขมขื่นของการเป็นคนรากหญ้า การเป็นพลเมืองชั้นสอง แต่ก็เอามาทำเป็นหนังตลกได้ คือความตั้งใจหรือว่าทำโดยธรรมชาติ โดยที่ไม่รู้ตัว
ผมว่าผมเป็นคนอย่างงั้นนะ ผมมักจะวนเวียนอยู่กับเรื่องที่มันแย่ๆ ห่วยๆ ในชีวิต โดยเฉพาะเรื่องความตาย ผมโคตรจะวนเวียนอยู่กับมันเยอะเหมือนกันว่า…ความตายแม่งเป็นสิ่งที่มันเศร้านะ ผมชอบที่จะวนเวียนอยู่กับมันว่า คนเราเวลาจะตาย หรือใกล้ตาย มันมีความพิเศษมากกว่ากิจกรรมอื่นในชีวิต อันนี้จุดนึง อีกจุดนึงก็รู้สึกว่า เอาจริงๆ เลยเราเป็นคนรากหญ้า เราไม่ได้เป็นคนไฮโซ เรียนสูง ซึ่งเมื่อก่อนตอนเป็นเด็กเราอาจจะเพ้อฝันถึงมันว่าอยากทำชีวิตอย่างนั้น อยากมีเรื่องที่เล่าจากชีวิตที่มันสูงๆ แต่ว่าจริงๆ แล้วมันทำไม่ได้ เราไม่เข้าใจมัน เราไม่เข้าใจชีวิตคนไฮโซจริงๆ หรอกว่าเขาใช้ชีวิตกันยังไง แต่สิ่งที่ผมเข้าใจมันมากที่สุดกลับเป็นชีวิตของคนบ้านๆ ทั่วไป คนรากหญ้าที่เราโตมา เรารู้สึกถึงมัน กลับกลายว่าเรารู้สึกดีกับมันด้วยซ้ำ เราชอบที่จะเห็นคนเดินเข้าไปในซอย แล้วเห็นคนเล่นตะกร้อ คนนั่งเมากันอยู่ ซึ่งมันเป็นชีวิตที่เราเห็นมากกว่าอย่างอื่น ก็เลยน่าจะเป็นสิ่งที่เราคุ้นชินมั้ง
ซึ่งกับ ไบค์แมน คุณมีความชัดเจน ในการหยิบจับชีวิตของวินมอเตอร์ไซค์ ยิ่งหนังเรื่องล่าสุด ‘The Lost Lotteries’ ยิ่งเห็นภาพชัดเจนขึ้น
เรารู้สึกว่าชีวิตคนเรา พอยิ่งมีอายุมากขึ้น แล้วเราต้องอยู่ในสังคมแบบนี้ สังคมที่แม่งแบบที่แม่งขมขื่นจริงๆ อย่างทุกวันนี้ที่ผ่านมา 8 ปี มันขื่นจริงๆ แหละ แต่เราจะอยู่อย่างไรให้มันมีความสุขกับมันไปด้วยได้ คือบางคนเขาก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในสังคมแบบนี้ไง บางคนเขาเลือกที่จะหนีไปอยู่ที่ไหนก็ได้ แต่มันมีคนอีกหลายสิบล้านคนที่จำเป็นต้องอยู่ เราเองก็ต้องอยู่ เรามีภาระ เรามีแม่ต้องเลี้ยง มีคนที่ต้องดูแล เรามีชีวิตที่ต้องดิ้นรน แล้วเราจะอยู่กับมันยังไง ให้มันไปได้ต่อ โดยที่ไม่ต้องเป็นโรคซึมเศร้า ไม่ต้องป่วยซะก่อน แล้วผมก็ไม่ใช่คนที่พร้อมจะลุกขึ้นไปแล้วบอกว่า “เฮ้ย มาเปลี่ยนโลกกันเถอะ” เราไม่มีแรงขนาดนั้นหรอก แค่แรงกินข้าว หาข้าวกิน แค่หาเงินไปโรงพยาบาลเอกชนให้ได้ แค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว ทำยังไงให้มันเป็นแบบที่เรามีความสุข ให้มันดีที่สุด ซึ่งจริงๆ แล้วผมว่า ความขมขื่นแม่งเป็นชีวิตอะ มันก็มีเสน่ห์ของมัน นี่แหละคือชีวิต มันจะไม่สมบูรณ์ถ้ามันจะมีแต่เรื่องแฮปปี้ หรือมีแต่เรื่องเพอร์เฟกต์ไปซะทุกอย่าง
จากการสังเกต คุณจะมีแนวทางอยู่สองแบบก็คือ ไม่คลุกวงในเอาเรื่องราวในสังคมมาทำให้ตลก ก็จะไปอีกโลกหนึ่งเลย ไปแฟนตาซีเลย อย่าง ‘อีเรียมซิ่ง’ หรือล่าสุดก็ ‘บัวผันฟันยับ’
คือจริงๆ มันอาจจะเป็นปมในใจก็ได้ หมายถึงว่า ถ้าไม่อยู่กับมันให้ได้ก็ escape ไปเลย แต่ว่าการ escape ก็เป็นปกติของคนมั้ง ที่ถ้าดิ้นรนอยู่กับมันไม่ไหวก็ escape ไปสักนิดนึงก็ยังดี
~ บทที่ 3 จุดเริ่มต้นที่คนต้องไม่คาดคิด ~
‘อีเรียมซิ่ง’ มีจุดเริ่มต้นอย่างไร
เอาตรงๆ เวลาคิดโจทย์กับพี่ยอร์ชอะครับ เราไม่ค่อยเริ่มด้วยความจริงจัง บางทีพี่ยอร์ชก็จะมีบางสิ่งติดค้างในใจ อย่างอีเรียมซิ่ง เขาไปเห็นภาพต้นตาล เป็นภาพต้นตาลอะ แล้วเขาก็รู้สึกว่าอีต้นตาลที่เรียงเป็นตับๆ แม่งต้องมีคนประหลาดๆ อยู่ในนั้น แล้วมันสนุกดีว่ะ พี่ยอร์ชก็จะเอ่ยปากว่า มาทำหนังเรื่องใหม่กัน
แค่นี้เหรอ!!!
จบแค่นี้เลย อีเรียมซิ่งเนี่ย จริงๆ อีเรียมซิ่งมันต้องมีต้นตาลด้วยนะ คือคิดมาจากว่า มันต้องมีแก๊งห่วยๆ บ้าๆ บอๆ อยู่หลังต้นตาลแล้วแม่งต้องสนุกมากเลย จนไปถ่ายถึงแบบ ไอ้เชี่ย หาต้นตาลดีๆ ยากว่ะ ถ่ายยากว่ะ ก็เลยเอาต้นตาลออกดีกว่า คือมันก็ไปเรื่อย คือจุดเริ่มต้นมันจะมาอย่างนี้ครับ ง่ายๆ เลย มันจะมาด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบที่บางครั้งมันไม่ได้มาเป็นพล็อต เป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่คุยกันแล้วแบบ เฮ้ย รู้สึกโดนว่ะ
แล้วอย่าง ‘ไบค์แมน’
ไบค์แมน ถือเป็น case study ที่มันบ้าๆ บอๆ มาก ที่จริงผมเขียนบทเรื่องนึงเสร็จไปแล้วด้วยนะ แล้วก็คุยกับนายทุนไว้ด้วย นายทุนก็ไฟเขียวแล้ว เตรียมจะพรีโพรฯ (Pre-Production) แต่ผมก็รู้สึกว่า…ฉิบหายละ แม่งไม่ใช่ว่ะ ยังไงก็ไม่รู้ รู้สึกแค่มันเป็นหนังตลก another ตลกอีกเรื่องนึง แล้วผมก็รู้สึกสังหรณ์ใจว่า เชี่ยแม่งต้องไม่เวิร์กแน่เลยว่ะ เลยต้องเดินไปบอกพี่ยอร์ชอย่างหน้าด้านๆ เลยว่า “ผมว่ามันไม่อินว่ะ” เขียนเองด้วยนะ เขียนมาตั้งเป็นปี ไม่อินว่ะพี่ ผมขอไม่ทำได้ไหม คือมันเหี้ยมากอะในความรู้สึกผม แต่พี่ยอร์ชแกเป็นคนใจดีไง พี่ยอร์ชบอกเออ งั้นเดี๋ยวกูไปขายใหม่แล้วกัน สุดท้ายบทเรื่องนั้นก็โละทิ้ง แล้วก็นั่งเขียนกันใหม่ แล้วก็นั่งคุยกันใหม่ว่า เฮ้ยอยากทำอะไรวะ ผมก็นั่งทำ คุยไปคุยมาเรารู้สึกว่า ตอนไบค์แมนคีย์เวิร์ดว่า อยากทำโฆษณาไทยประกันชีวิต
หืม…???
คือตอนนั้นเราจะคลุกคลีกับโฆษณาไทยประกันชีวิตของพี่ต่อ (ธนญชัย ศรศรีวิชัย) ใช่ปะ แล้วเราก็รู้สึกว่า เนี่ย แม่งเป็นชีวิตที่เราทัชมันอะ โอเคไอ้เรื่องดราม่าเรียกน้ำตามันก็ดีนะ แต่ว่าสิ่งที่มันนอกเหนือจากนั้นคือ บรรยากาศของหนัง คือหนังของพี่ต่อตอนนั้น เป็นสิ่งที่เราอินกับมัน เราทัชกับมัน พี่ต่อไม่เคยไปหรูใส่เรา เขาข้างถนน ภาพมันก็ไม่สวยเลย แต่มันจริง ไม่มีการจัดวางใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเรารู้สึกว่า…เออว่ะ อันนี้เราอิน มาทำแบบนี้ดีกว่า ลองทำดู อือ แล้วมันก็กลายเป็น ไบค์แมน
แล้วอย่าง ‘บัวผันฯ’ ล่ะ
อย่างบัวผันฯ มันมาจากโจทย์ที่ว่า พอช่อง 3 เขาได้ทำ อีเรียมซิ่ง แล้วเขารู้สึกว่า เฮ้ย อยากทำอีก อยากทำกับพฤกษ์ แต่เขามีโจทย์มา คืออยากให้พี่แอนไปเล่นด้วยนะ แล้วเราก็แบบ ‘แอน ทองประสม’ เจ้าหญิงแห่งวงการบันเทิง เลยนะ เรื่องก่อนหน้า The Letter เราก็ชอบมาก แล้วเขาจะมาเล่นหนังของเราเหรอ แต่เขาพูดมางี้ มันก็ท้าทายครับ บังเอิญเรามีพล็อตผู้หญิงสูงวัยพอดี ที่ดันเก่งแต่ไม่ได้รับโอกาส แล้วไปเจอไอ้หนุ่มคนนึงที่โคตรไม่เก่งเลย แต่เสือกเกิดเป็นผู้ชายเลยมีโอกาสมากกว่า เราก็เอาเรื่องนี้ไปขายแล้วกัน เขาดันชอบ พี่แอนก็อยากเล่น เพราะเขารู้สึกว่าเขาไม่เคยเล่นหนังตลกเบอร์นี้เลย เขาอยากลอง เพราะเขารู้สึกว่าศาสตร์การเล่นตลกมันยาก เขาไปไม่เคยถึง เพราะเขาอยากรู้ว่าพอมาเล่นแล้วเป็นยังไงวะ มันจะยากสักแค่ไหน นี่คือสิ่งที่เขาอยากทำ ก็เลยได้ทำ
~ บทที่ 4 ต้องหัวเราะร่า แม้น้ำตาจะรินก็ตาม ~
ช่วงปีสองปีที่ผ่านมา คุณพบเจอสถานการณ์ความสูญเสียเยอะมาก ครั้งแรกคือพี่โรเบิร์ต แล้วก็น้าค่อม ที่เป็นสีสันให้กับหนังในช่วงที่บูม พอรู้ว่าอนาคตหนังของคุณจะไม่มีทั้งสองคนนี้แล้ว ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร
มันต้องแยกเป็นสองเรื่องคือ สำหรับผม ผมชอบดู บริษัทฮาไม่จำกัด อยู่แล้ว ชอบดูน้าค่อมอยู่แล้ว ในฐานะคนดู เราก็รู้สึกรักแกแหละ ตอนพี่เบิร์ตก็ทำใจระดับหนึ่ง เพราะแกสุขภาพไม่ดี เป็นโรคประจำตัวอยู่แล้ว แต่พอน้าค่อมมาเสีย ถ้าให้นึกทวนตอนนั้นผมรู้สึกว่าผมโคตรหงุดหงิดเลย คือเอาตรงๆ คือโมโหมาก ตอนนั้นเราน่าจะมีวิธีจัดการที่ดีกว่านี้รึเปล่า ไม่ใช่แค่น้าค่อมนะ คนหลายคนจำนวนเป็นพันๆ ที่ตายไป แบบตายข้างถนนก็มี โอเคมันเป็นโรคใหม่เข้าใจ แต่มันน่าจะมีการจัดการให้ดีกว่านี้หรือเปล่า แล้วพอยิ่งเป็นน้าค่อม เราก็รู้สึกว่า…ไม่น่า ผมว่ามีคนหลายคนที่จะใช้คำว่า ‘ไม่น่า’ ไม่ควรเลยที่พี่เขาต้องมาจบชีวิตแบบนี้ แล้วเราก็หงุดหงิดโมโห ทำไมเป็นอย่างนั้นวะ นี่คือพูดในฐานะคนดูที่มีความรู้สึกว่า อดดูการแสดงดีๆ ของน้าค่อม อดหัวเราะไปอีกหลายปีเลยนะ คือผมเชื่อว่า ถ้าน้าค่อมยังอยู่ก็ทำให้คนหัวเราะได้อีกนาน หรือพี่เบิร์ตก็ตาม อืม ในฐานะคนดูเป็นอย่างนั้น
ส่วนในฐานะคนทำหนังก็เสียดาย แต่อันนี้ต้องบอกตรงๆ คือตอนเราทำ ไบค์แมน ตอนเราทำ ไบค์แมน 2 หรือตอนเราทำ อีเรียมฯ ผมก็เคยคุยกับพี่ยอร์ชว่า ต่อไปสักพักเราคงไม่ได้ใช้น้าค่อมแล้วแหละ ไม่ใช่ว่าเราไม่ชอบหรืออะไรนะ แต่ไม่อยากให้แกต้องมาคอยนั่งคอยอุ้มพวกเรา คือมันก็เป็นความย้อนแย้งพอสมควร คือส่วนตัวเวลาเราทำงานเรารักที่จะทำงานกับพวกแกเลยนะ เพราะมันสนุก ไม่ใช่สนุกแค่ในเรื่อง อยู่ในกองมันก็สนุกอะ เวลามีพี่ค่อมพี่เบิร์ตมันเหมือนมาปิกนิก มันเหมือนมาคุยขำๆ กัน แล้วก็ทำงานกันมากกว่าที่จะซีเรียสจริงจังกัน ในความที่แกป็นคนตลกทั้งในจอนอกจออะไรอย่างงั้นอะ แต่เหรียญมันก็มีสองด้าน คือคนดูหลายๆ คนก็จะคิดว่าเฮ้ย เราอยู่ได้เพราะน้าค่อม-พี่เบิร์ตหรือเปล่า ซึ่งเราไม่ได้อยากเป็นอย่างนั้น เราก็เลยบอกพี่ยอร์ชว่า หลัง อีเรียมซิ่ง อาจจะต้องเปลี่ยนนะ แล้วมันก็เป็นจังหวะที่แกจากไปพอดี
อีกท่านหนึ่งที่คุณสูญเสียไป นั่นคือคุณแม่ แล้วคุณก็หยิบความสูญเสียนี้มาทำเป็นหนัง ก็คือ ‘ใจฟูสตอรี่’
คือผมรู้สึกว่าผมมักจะเจอเรื่องแจ็กพ็อตอย่างนี้เสมอ อย่างตอนผมทำซิตคอม เขียน ‘เฮงเฮงเฮง’ หรือ ‘บางรักซอย 9’ พ่อก็มาป่วยแล้วก็เสีย แล้วมันฟีลนี้เลย ต้องไปเฝ้าพ่อ แล้วก็โดนตามงาน แล้วต้องไปเขียนบทตลกอะ ก็เหมือนเดิม คือผมไม่ได้มองมันแบบเจ็บปวดครวญคราง แต่ผมมองว่าแม่งเป็นความขมขื่นที่ประหลาดดีว่ะ คงไม่มีใครมีประสบการณ์อย่างเรามั้ง นั่งทำอะไรด้านบวก positive ตลกๆ ในขณะที่กำลังอยู่ในสถาพที่แย่ๆ ซึ่งผมว่ามันเป็นเสน่ห์ดี ก็เลยลองหยิบมาเล่าหน่อยดีกว่า และมันก็มีที่เราไปเจอเอง อย่างตอนไปเฝ้าแม่ มันเป็นเหตุการณ์ประหลาดหน้าห้อง ICU ญาติมาเฝ้ากัน แล้วสักพักนึงมันจะเกิดความผูกพันกัน เพราะเราจะเริ่มเห็นหน้าเขา เราจะรู้ละ ว่าคนนี้ก็ยังอยู่ คนนี้ก็ยังมาเฝ้า เริ่มตั้งแต่ไม่รู้จักกัน ไม่คุยกัน จนเขยิบมาทักกันสวัสดีกัน ต้องมานั่งเฝ้าทุกวัน เริ่มซื้อขนม มีขนมมาแบ่ง เริ่มแบบเราจะเริ่มรู้สึกดีที่ญาติคุณหายแล้ว คุณไม่ต้องมาแล้วนะ คุณแม่หายแล้ว ดีใจด้วย มันมีโมเมนต์นี้ มีโมเมนต์ที่ขมขื่น แต่แม่งสวยงามเหมือนกันนะ ที่มนุษย์ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน แต่แม่งพยายามเยียวยากันเอง ช่วยเหลือกันอะไรอย่างนี้ ก็เลยลองมาทำเป็นหนังใจฟู
ซึ่ง ‘ใจฟูสตอรี่’ ก็แทบจะเป็นหนังที่บันทึกช่วงเวลาโควิดไปเลย แต่คุณก็เลือกไปเวย์หวานๆ ใสๆ
ใช่ๆ ด้วยความเป็นตัวเราเนอะ เราก็ไม่อยากไปเบอร์เครียด แต่ก็ยังอยากเล่าพวกนั้นอยู่
อีกแง่หนึ่ง เรารู้สึกว่าเราเป็นมนุษยนิยมนะ ตั้งแต่ตอนพ่อเสีย และแม่เสีย เรารู้สึกมนุษย์มันเป็นสิ่งประหลาด บางครั้งเราก็จะรู้สึก มนุษย์มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีภาระผูกพัน สมองสั่งให้รู้ว่า นี่พ่อนะ นี่แม่นะ นี่ครอบครัวนะ นี่เพื่อนสนิท นี่คนรักเก่า คือพวกเราล้วนสร้างมาเองทั้งนั้นนะ และก็ต้องมาเจ็บปวดกับสิ่งที่สร้างกันอะ เอาตรงๆ ไม่เหมือนหมาแมว ที่มันมีชีวิตอยู่ได้ ไม่ยึดโยงแบบมนุษย์ มนุษย์แม่งทำไมยึดโยงไปหมดเลย สร้างอะไรมาไม่รู้เต็มไปหมดเลย แล้วก็เจ็บปวดกับมัน ดื่มด่ำกับมันแล้วก็เจ็บปวดกับมัน แม่งเป็นความประหลาดที่น่าสนใจดี
~ บทที่ 5 โลกหมุนไว เสียงหัวเราะก็ต้องไวตาม ~
ยุคนี้ทำอะไรนิดหน่อย พูดอะไรนิดเดียวก็กลายเป็นเรื่องของการบูลลี่ไปหมดแล้ว คุณมีความระแวดระวัง หรือมีความกดดันอย่างไรบ้างในการทำหนังตลกยุคนี้
ผมรู้สึกว่ามันก็มีระวังบ้าง พอรู้บ้างว่าไอ้เรื่องการบูลลี่รูปร่าง ซึ่งปกติมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมชอบเล่นอยู่แล้ว เรื่องบูลลี่รูปร่างหน้าตา สังขาร โชคดีที่ตลกมันมีหลากหลายทาง และบังเอิญเราก็ไม่ค่อยอินกับมุกในทางนั้นเท่าไหร่ พอไม่ได้เล่นแล้วก็ไม่รู้สึก เลยไม่ได้สนใจด้วยมั้ง ผมรู้สึกว่าพอคนมันเล่นตลก อะไรมันก็เล่นได้ มันอยู่ที่เจตนาก่อน ต้องดูเจตนาคนเล่นกับคนรับ ผมว่ามันเป็น two way คือคนเล่นมุกกับคนรับมุก ซึ่งเป็นเรื่องของเขา ส่วนบุคคลที่สาม สำหรับผมแม่งไม่เกี่ยว ถ้าบุคคลที่หนึ่งและบุคคลที่สองเขาเล่นกันแล้วเขาแฮปปี้ก็จบไป บุคคลที่สามจะมาตัดสินอะไรวะ อันนี้แยกกันก่อน แต่ทีนี้ถ้าเป็นเรื่องคอนเทนต์ที่ทำออกไป อันนี้ก็เป็นอีกเรื่องนึงสำหรับผมคือก็แล้วแต่มุมมองคน ซึ่งผมว่ามันเป็นเรื่องปกติของสังคมที่มันจะมีการวัดเกณฑ์กัน เมื่อก่อนไม่คิดอะไร สมัยนี้สำหรับผมมันเหมือนตราชั่งดีดไปเยอะก่อน แล้วเดี๋ยวมันจะกลับมาเอง คล้ายๆ เฟมทวิต ตราชั่งดีดมาแรงมากเลย สักพักมันจะค่อยเรียนรู้กันไปว่า อ๋อ จริงๆ มันไม่ต้องซีเรียสขนาดนั้นก็ได้ อยู่ที่บริบทอะไร และเราวัดกันด้วยอะไรมากกว่า คือบางคนด่าเรื่องลามก มันก็มี case study ลามกจกเปรต ซึ่งคนรุ่นพ่อรุ่นแม่เราก็ลามกนะ เขาก็ลามกในแบบของเขา สมัยนู้นเขามีกลอน มีกาพย์ อยู่ มันอยู่ที่คุณจะหยิบมาซีเรียสกับมันแค่ไหน คุณซีเรียสมากก็เห็นมั้ง
ในยุคสมัยที่ TikTok เป็นสิ่งที่อยู่ในกระแส มีคลิปสาดมุกกันสั้นๆ Reel เอย Short เอย ทุกคนพร้อมที่จะตลกกันตลอดเวลา คุณรู้สึกลำบากที่ต้องทำหนังตลกที่มีความยาวชั่วโมงครึ่งหรือ 2 ชั่วโมง เพื่อต่อสู้กับนวัตกรรมใหม่ๆ พวกนี้ไหม
ก็ลำบากครับ ผมก็สังเกตว่า อยู่ๆ คนก็มาเล่นมุกกันโบ๊ะบ๊ะได้ง่าย เมื่อก่อนซิตคอมสัก 20 ปีที่แล้ว ผมไม่เชื่อว่าคนจะเล่นมุกกันนะ แต่ทุกวันนี้เนี่ย กินข้าวกันก็เล่นมุกกัน เดินทักกันก็เล่นมุกกัน รู้ด้วยว่าจะรับส่งยังไง พัฒนาไปไกลมาก แต่ถามว่ามันลำบากไหม มันลำบากในการหามุกใหม่ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมเองก็เจอมานานละ ตอนเขียนบทผมก็ลำบาก คือมันจะมีจังหวะแบบเรียกกันเองว่า 3 บรรทัดขำ เขียนบทมา 3 บรรทัดต้องขำนะเว้ย ปู/ชง/ตบ เขียนไปสักพักนึง แม่งหดเหลือ 2 บรรทัด เพราะคนดูจะเดาได้แล้ว มึงเล่นแบบนี้กูขำละ เดียวมึงต้อง 3 บรรทัด เดียวกูต้องรอบรรทัดนี้สินะ กูไม่ขำมึงละ แม่งต้อง 2 บรรทัด ทำไงให้หักคนดูไปเรื่อยว่ามึงจับกูไม่ได้หรอกว่าจะขำตอนไหน บางที 1 บรรทัดขำก็มีนะ ต้องพัฒนาไปถึงตรงนั้น จนตอนนี้ผมรู้สึกว่าแม่งไม่มีสูตรแล้วล่ะ แค่พยายามหาอะไรที่มันใหม่ๆ โครงสร้างมุกมันอาจจะเหมือนเดิม ความตลกของคนเราพอมีสิ่งที่คาดไม่ถึง แล้วมันเลยตลกอะไรแบบนี้ แต่เราใส่อย่างอื่นให้มันใหม่ขึ้นมาแค่นั้นเอง
รู้สึกอย่างไรที่ตลกมักโดนด้อยค่าตลอด
คือหนังตลกแม่งไม่เคยได้รับคุณค่า ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม มันเป็นสิ่งที่ประหลาดมาก
ระหว่างคำว่า “หนังแม่งไม่ตลกเลย” กับ “หนังตลกโคตรห่วยเลย” คำไหนทิ่มแทงใจคุณมากกว่ากัน
เมื่อก่อนตอนทำหนังแรกๆ คนชอบบอกว่าหนังตลกแม่งโคตรห่วย อันนี้จะรู้สึกจี๊ดๆ นิดนึงว่ากูเหมือนเป็นประชาชนชั้นสองเลย ขอโทษทีที่ไม่ได้ทำหนังชิงรางวัล แล้วดูเหมือนเป็นคนโง่ ที่ทำอะไรมาไม่รู้ ตอนนั้นคิดอย่างงั้น ผ่านไปผมก็เรียนรู้จากพี่ยอร์ช พี่ยอร์ชเขาเป็นคนที่รู้ว่าอยากทำอะไร แล้วเขาก็ไม่เคยก้าวข้ามไปสู่สิ่งอื่นที่ไม่อยากทำ พี่ยอร์ชตลกมาก เขาเป็นกูรูด้านตลก เขารักตลกมาก เขาจำมุกตลกคาเฟ่ รู้ด้วยว่าใครชอบเล่นมุกไหน รู้ด้วยว่าคนอย่างน้าค่อมเล่นยังไงถึงจะขำ คนอย่างพี่เบิร์ตต้องเล่นคนละแบบ เขามีความสุขในการทำตลก แล้วเขามีความสุขรู้ที่ว่า เขาอยากทำแค่เนี้ย และเขาไม่ต้องการรางวัล แค่นี้มีความสุขกับการใช้ชีวิต โดยที่ใครจะว่าทำแต่หนังแนวเดียว เขาก็ไม่เคยสนใจ เพราะเขามีความสุขอยู่แล้ว จนผมมาเรียนรู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ สุดท้ายมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ที่จะนั่งนึกถึงสิ่งที่ไม่ได้มีความสุขกับเรา หลังๆ ผมเลยจะเจ็บปวดกับคำแรกมากกว่า ทำหนังไม่ตลกเลย อันนี้เจ็บปวดเพราะกูทำหนังตลก แต่คนด่าว่าไม่ตลกเลย เรารู้สึกไม่ success ในการทำหนังตลกแล้วไม่ตลก มันพินาศมากนะ
เหมือนเคยอ่านเจอว่าคุณเองก็ไม่ได้อยากที่จะมีตัวตนอยู่แค่ในฐานะผู้กำกับหนังตลก ยังอยากจะที่ทำหนังเวย์อื่นอยู่ ตอนนี้คุณยังคิดอย่างนั้นอยู่หรือเปล่า
เมื่อประมาณปีสองปีก่อน ผมรู้สึกว่าอยากเป็นอย่างนั้น แต่ไปๆ มาๆ ผมรู้สึกว่า หรือมันก็ไม่ใช่วะ เหมือนพระเจ้าให้มึงมาว่า มึงทำคอนเทนต์ตลกไปเหอะ เพียงแต่ว่าสิ่งที่มึงทำเนี่ย ทำแล้วดีไปตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า คือตอนที่ยังไม่เคยทำหนัง เราอยากทำไปหมดแหละ ดูหนังแอ็กชั่นก็อยากทำแอ็กชั่น หรือดูหนังผีก็รู้สึกว่าเราทำหนังผีก็ได้วะ และพอเราโตขึ้นมา ก็เออว่ะ มันมีไม่กี่คนหรอกที่ทำได้หลายอย่างในคนเดียวกัน เราคิดว่าเราทำได้แต่มันอาจจะไม่เวิร์ก
ในยุคที่ผู้คนเต็มไปด้วยความซึมเศร้า โลกที่มีปัญหามากมาย คุณว่าหนังตลกมันพอจะช่วยอะไรได้ไหม
ผมว่าช่วยได้นะ แต่ก็ไม่อาจหาญคิดขนาดนั้น ผมแค่ทำให้คนหัวเราะ แล้วมีความสุขกับมันก็โอเคแล้ว ไม่ถึงขั้นระดับโลก ไม่ถึงขั้นเป็นหน่วยกอบกู้อะไรได้ แค่ทำในสิ่งที่เราพอทำได้และก็สนุกไปกับมัน คนเอนจอยไปกับมันด้วย แล้วแฮปปี้ในสิ่งที่เราทำก็พอละ ไอ้เรื่องที่บอกว่าจะช่วยได้ไหม ช่วยตัวเองยังไม่ค่อยรอดเท่าไหร่ ผมเองยังเยียวยาด้วย ‘บริษัทฮาไม่จำกัด’ ‘ก็มาดิคร้าบ’ อยู่เลยครับ
จริงๆ คุณเป็นคนตลกไหม
ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนไม่ตลกนะ คนจะเข้าใจผิดว่าคนทำงานตลกแม่งต้องเป็นคนตลกตลอดเวลาแน่เลย ซึ่งเท่าที่เจอมาก็ไม่ใช่อย่างงี้ทุกคน หรือพี่ๆ อาชีพตลกด้วยกันเอง ตอนเวลาปกติเครียดจะตาย แต่ถ้าให้จำกัดความตัวเอง ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนมองโลกในแง่ตลก หมายถึงว่าเลือกที่จะมองมันแล้วเราขำกับมันได้ คือคนส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้ คือผมเชื่อว่า เออ คนเดินตกท่อ คนโดนรถชนเนี่ย โอเค บางทีเรื่องมันร้ายแรงนะ หรือคนป่วย คนตายบางทีเรื่องมันร้ายแรงนะ แต่เราฟิกซ์มันให้มันขำได้อะ เรารู้สึกว่า อย่างงี้ชีวิตมันน่าจะแฮปปี้กว่า เห็นถึงช่วงเวลาที่จะตลก แล้วเขาก็เล่นตลกกัน ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงไม่เข้าใจ เขาคงโดนด่านะ ผมเชื่อว่าคนตลกด้วยกันเขารู้ว่ามันก็แค่นี้แหละ ทำไมมึงไม่มองมุมนี้ล่ะ แล้วก็ตลกกับมันซะ จบ