มาตรฐานราคาโรงหนังแบบใหม่ในอเมริกา อาจนำพาวงการหนังสู่หายนะยิ่งกว่าเดิม

3 Min
912 Views
22 Feb 2023

ถือเป็นข่าวใหญ่ในรอบสัปดาห์เลยก็ว่าได้ เมื่อเครือโรงหนังยักษ์ใหญ่แห่งอเมริกาอย่าง AMC กำลังจัดระบบราคาขายตั๋วใหม่ โดยเรียกระบบนี้ว่า ‘Sightline’ นั่นคือการกำหนดราคาตั๋วตามระยะที่นั่ง โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ‘Standard Sightline’ คือราคาตั๋วมาตรฐาน, ‘Value Sightline’ คือ 2 แถวหน้า และริมสุดของแถว ที่จะลดราคาลงมา และ ‘Preferred Sightline’ ได้แก่ที่นั่งตรงกลางที่มอบประสบการณ์การดูหนังเต็มอรรถรสที่สุด ซึ่งระดับนี้จะปรับราคาให้สูงขึ้น

โดยระบบ Sightline นั้น AMC ใช้วิธีการจัดการเหมือนกับการชมคอนเสิร์ตหรือละครบรอดเวย์ โดย อีเลียต แฮมลิสช์ (Eliot Hamlisch) รองประธานบริหารและ CMO ของ AMC Theatres กล่าวว่า

“ระบบ Sightline ที่ AMC นั้นใกล้เคียงกับแนวทางการกำหนดราคาที่นั่งแบบเดียวกันกับสถานบันเทิงอื่นๆ หลายแห่ง โดยเสนอราคาตามประสบการณ์ ในการรับชมของผู้ชมภาพยนตร์ในการค้นหาอรรถรสจากภาพยนตร์ ทุกที่นั่งใน AMC จะมอบประสบการณ์การรับชมที่น่าตื่นตาตื่นใจ เราทราบดีว่ามีผู้ชมภาพยนตร์บางคนให้ความสำคัญกับที่นั่งเฉพาะของพวกเขา และคนอื่นๆ ก็ให้ความสำคัญกับการรับชมภาพยนตร์ที่คุ้มค่าเช่นกัน Sightline ที่ AMC รองรับความรู้สึกทั้งสองด้าน เพื่อช่วยให้มั่นใจว่าผู้ชมของเราจะคอนโทรลประสบการณ์การรับชมได้มากขึ้น เพื่อให้การเดินทางมาที่ AMC ทุกครั้งเป็นการเดินทางที่ยอดเยี่ยม”

ซึ่งการแบ่งระดับการดูหนังถือเป็นเรื่องปกติของบ้านเรา ที่วางลำดับราคาหน้าสุดถูก ส่วนด้านหลังแพง แต่สำหรับสหรัฐอเมริกา ที่ปกติจะขายตั๋วหนังในราคาเท่ากันหมด โดยสามารถเลือกนั่งที่ไหนก็ได้ ใครมาก่อนก็ได้สิทธิ์เลือกที่นั่งก่อน มาอย่างยาวนาน ราคาที่นั่งจะแปรผกผันตามช่วงวันและเวลา อย่างวันอังคารตั๋วจะถูกกว่าวันอื่นๆ รวมไปถึงจะลำดับราคาตามอายุผู้ชม การปรับระบบราคาโรงหนังใหม่จึงไม่เป็นที่น่าพอใจนักสำหรับผู้ที่เคยชินกับระบบโรงหนังแบบเก่า 

เว็บไซต์ Den of Greek มองว่า การปรับราคานั้นจะยิ่งเป็นการปิดประตูตอกฝาโลงให้กับโรงภาพยนตร์ เพราะปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมของคนดูที่เปลี่ยนไปหลังวิกฤตโรคระบาดจนทำให้โรงหนังต้องหยุดฉายถึง 12 เดือนเต็มๆ ทำให้คนดูบางกลุ่มที่ยังคงหวาดกลัวโควิดจนไม่กล้าเข้าโรง หรือการมาของสตรีมมิ่งอันร้อนแรงที่ทำให้คนเลือกดูหนังในบ้านมากกว่าเข้าโรง ยิ่งฉุดให้โรงหนังฟื้นตัวช้า ไปจนถึงการปิดสาขาในหลายๆ แห่งทั่วประเทศขึ้นไปอีก 

จากข้อมูลของ The Numbers ตั๋วหนัง 813 ล้านใบ ถูกขายไปในอเมริกาเหนือเมื่อปีที่แล้ว แม้ว่าดูจากตัวเลขแล้วเหมือนจะมีความหวัง แต่ก็ลดลงมากกว่า 33 เปอร์เซ็นต์ จากปี 2019 ซึ่งขายตั๋วได้ 1,230 ล้านใบ ปีก่อนหน้านั้น 2018 ขายตั๋วได้ 1,310 ล้านใบ และเมื่อ 20 ปีที่แล้ว อัตรารายปีขายตั๋วได้มากกว่า 1,500 ล้านใบ ตัวแปรสำคัญคือพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของคนดูในยุคนี้ ที่มีสื่อมากมายพร้อมแย่งแอร์ไทม์เราไป ไม่ว่าจะเป็นสตรีมมิ่งเอง โซเชียลมีเดีย เกม รวมไปถึงอีเวนต์ต่างๆ ที่มายื้อแย่งช่วงเวลา 

แต่การเพิ่มค่าตั๋วเพื่อแลกกับความพรีเมียมในยุคนี้ อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีนัก ในสภาวะการถดถอยของเศรษฐกิจที่ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู ราคาบัตรที่สูงขึ้นก็อาจจะผลักคนดูออกจากวงโคจรได้ง่ายขึ้น เพราะไม่มีเหตุผลจำเป็นเลยในการไปชมภาพยนตร์ รวมไปถึงมุมมองที่โรงหนังเลือกจะโอ๋คนมีเงินมากกว่าคนทั่วไป ที่ในขณะนี้กำลังเผชิญหน้าทั้งปัญหาโดนเลย์ออฟงาน บางคนต้องรัดเข็มขัดเพื่ออยู่รอดในเดือนต่อไป โดย เอไลจาห์ วูด (Elijah Wood) ได้ทวีตเดือดถึงนโยบายใหม่ของ AMC ด้วยอาการหัวเสียว่า

“โรงภาพยนตร์เป็นพื้นที่ประชาธิปไตยอันศักดิ์สิทธิ์สำหรับทุกคนเสมอมา การริเริ่มนโยบายใหม่โดย AMC Theatres คือการลงโทษผู้คนที่มีรายได้น้อย และให้รางวัลสำหรับรายได้ที่สูงขึ้น”

ดูเหมือนปัญหาโรงหนังกำลังเกิดขึ้นทั่วโลกในขณะนี้ กระทั่งบ้านเราที่ตัวเลขน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้จะพยายามมีโปรโมชั่นหรือบัตรเหมาจ่ายรายเดือนมาช่วยกู้สถานการณ์ซบเซาในโรงหนัง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่สามารถช่วยกอบกู้ภาวะวิกฤตนี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม และราคาบัตรเข้าชมก็เป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่โรงหนังทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่อย่างเลี่ยงไม่ได้

แม้ในขณะนี้โครงการนี้จะเริ่มต้นเพียงไม่กี่รัฐ แต่นโยบายนี้กำลังบอกเรากลายๆ ว่า

“โรงหนังจะไม่ใช่โรงมหรสพราคาย่อมเยาสำหรับทุกชนชั้นอีกต่อไป”