แคลิฟอร์เนีย เผชิญภัยแล้งรุนแรงที่สุดในรอบ 1,200 ปี พื้นที่สีเขียวแห้งแล้ง น้ำในทะเลสาบเหือดหาย ผู้คนนับร้อยล้มตาย
เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หลายเมืองในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาต้องเผชิญกับคลื่นความร้อนรุนแรง จนมีผู้เสียชีวิตเพราะอากาศหลายร้อยราย
นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่านี่คือผลกระทบโดยตรงของภาวะโลกร้อนที่ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยหลายพื้นที่เพิ่มสูงขึ้นผิดปกติ ทำลายสถิติตลอดกาลที่ไม่เคยสูงเกิน 45 องศาเซลเซียส มาสู่ 49 องศาเซลเซียสหลายวันติดต่อกัน
คลื่นความร้อนที่กำลังเกิดขึ้นเป็นผลมาจากปรากฏการณ์ ‘โดมความร้อน’ หรือ ‘Heat Dome’ เมื่อคลื่นความร้อนในอากาศขยายตัวแนวตั้งจนถูกความกดอากาศสูงกดกลับลงมา ทำให้อุณหภูมิบนแผ่นดินยิ่งเพิ่มสูงขึ้น
แม้ตอนนี้อุณหภูมิในพื้นที่หลายแห่งจะลดต่ำลงมาบ้างแล้ว แต่ว่าความน่ากลัวของสภาพอากาศที่แปรปรวนนี้ยังไม่จบ หรือหากพูดสำนวนนวนิยายวันสิ้นโลกก็คงกล่าวได้ว่า “เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของหายนะ…”
ยกตัวอย่างสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนียตลอดทั้งเดือนมิถุนายน เกือบทั้งรัฐต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อนจัดระดับทำให้สายไฟฟ้าละลายได้เลย

น้ำในทะเลสาบปีนี้ลดลงจากปีก่อนมาก l NASA Earth
นอกจากนี้ สภาพอากาศที่ร้อนยังกระทบเกี่ยวเนื่องไปถึงพื้นที่ป่าที่มีอยู่ราว 32.6 ล้านเอเคอร์ หรือประมาณ 30% ของพื้นที่รัฐ ให้มีสภาพแห้งแล้งจนมองเห็นได้จากภาพถ่ายดาวเทียม พื้นที่ที่เคยเขียวชอุ่มตอนนี้กลายเป็นสีน้ำตาลซีดเซียว
ขณะที่แคลิฟอร์เนียได้ประกาศภาวะฉุกเฉินไปแล้วกว่า 40 เมืองจากทั้งหมด 58 เมือง ตามคำเตือนของนักวิทยาศาสตร์ที่บอกว่า “ความแห้งแล้งในปัจจุบัน มีแนวโน้มว่าจะเลวร้ายที่สุดเท่าที่เราเคยพบเห็นในรอบอย่างน้อย 1,200 ปี”
และก็ต้องถือเป็นคราวเคราะห์จริงๆ เพราะป่าของแคลิฟอร์เนียเพิ่งถูกทำลายด้วยไฟป่าเมื่อปีที่แล้วมาหยกๆ สภาพพื้นที่ยังฟื้นตัวได้ไม่ดีนัก เมื่อเจอคลื่นความร้อนกดทับเข้าใส่ ก็ยิ่งทำให้ป่าแล้งหนักขึ้นไปอีก
สภาพป่าที่แล้งจัดยังกลายเป็นตัวเร่งจุดชนวนให้ไฟป่าลุกลามได้ง่ายอย่างไม่ต้องสงสัย ในช่วงวันที่ 1-2 กรกฎาคมที่ผ่านมา พบว่าหลายพื้นที่ทางตอนเหนือของรัฐเริ่มมีไฟป่าลุกไหม้ในหลายจุด ทำให้มีผู้คนต้องอพยพออกจากที่อยู่อาศัย

ไฟป่าแคลิฟอร์เนีย กรกฎาคม 2564 l NBC Bay Area
ผลกระทบเรื่องภัยแล้งจากความร้อนที่เพิ่มสูง ยังทำให้น้ำในทะเลสาบ Shasta และ ทะเลสาบ Oroville ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำที่ใหญ่ที่สุดสองอันดับของรัฐเหือดหายลงไปมาก ซึ่งกระทบต่อการผลิตไฟฟ้าให้กับบ้านเรือนกว่า 800,000 หลัง รวมถึงเรื่องคุณภาพน้ำที่ย่ำแย่จนนำมาใช้อะไรไม่ได้ เพราะเต็มไปด้วยเถ้าถ่านจากเพลิงไหม้ที่ต้องลงแรงบำบัดกันอีกนาน
กล่าวได้ว่า ตอนนี้แคลิฟอร์เนียกำลังติดหล่มความแห้งแล้งครั้งประวัติศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลให้ฤดูกาลไฟป่าและคลื่นความร้อนเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ ในปีต่อๆ ไป
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงผลกระทบหนึ่งที่อุบัติขึ้นจากปัญหาเรื่องโลกร้อน และเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนเราอีกครั้งว่า จะแก้ปัญหาแบบผัดวันประกันพรุ่งไม่ได้
อ้างอิง
- The Washington Post. Here’s what’s causing record temperatures in the Pacific Northwest. https://wapo.st/2TuCzF0
- Business Insider. Images from space show California’s forests and lakes drying out in a record mega-drought. https://bit.ly/3hcXrcJ
- The Guardian. Wildfires grow in northern California with smoke plumes visible from space. https://bit.ly/2UX8myv