เบื้องหลังน้ำตาของ ‘เบรนแดน เฟรเซอร์’ ผู้รอดจาก ‘ด้านมืด’ ของฮอลลีวูด ก่อนคืนวงการอย่างสง่างาม

4 Min
957 Views
08 Sep 2022

คลิปวิดีโอที่อดีตนักแสดงหนุ่มหล่อผู้โด่งดังในยุค 90s อย่างเบรนแดน เฟรเซอร์ (Brendan Fraser) ที่ปัจจุบันอยู่ในวัย 53 ปี และมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ร้องไห้และปาดน้ำตาขณะที่คนดูหนังในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิสยืนปรบมือเพื่อเป็นเกียรติแก่เขาและผู้กำกับหนังเรื่อง The Whale (2022) นานหลายนาที กลายเป็นไวรัลในสื่อออนไลน์ฝั่งตะวันตกไปหมาดๆ สร้างความประทับใจให้กับผู้ติดตามภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างมาก

เพราะเสียงปรบมือนี้ไม่ใช่แค่เพียงชื่นชมที่เฟรเซอร์รับบทดราม่าหนักสุดในชีวิตได้อย่างน่าทึ่ง แต่เป็นเพราะเขาคือหนึ่งในผู้รอดพ้นจากจุดตกต่ำของชีวิต และกลับคืนสู่บทบาทนักแสดงได้อย่างสมศักดิ์ศรี

ถ้าคอหนังหลายคนยังจำกันได้ เฟรเซอร์เคยออกมาเปิดเผยผ่านสื่อเมื่อปี 2018 ว่า เขาเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยอดีตผู้ทรงอิทธิพลของฮอลลีวูดคนหนึ่ง

เฟรเซอร์กล่าวว่า เหตุการณ์นั้นกลายเป็นบาดแผลในใจของเขา และตัดสินใจออกมาพูดเรื่องนี้ในช่วงที่เกิดกระแส #MeToo ซึ่งคนทำงานในวงการภาพยนตร์และบันเทิงจำนวนมากรวมพลังต่อต้านการคุกคามทางเพศในฮอลลีวูด ทำให้ผู้ทรงอิทธิพลในวงการนี้จำนวนมากถูกสอบสวนและดำเนินคดีในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศกันหลายราย

คำให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร GQ และ Vanity Fair นั้นทำให้คนทั่วโลกได้รู้ว่าการที่เฟรเซอร์ที่เคยโด่งดังมากในยุค 90’s และมีผลงานในหนังระดับบล็อกบัสเตอร์ อยู่ดีๆ ก็งานหดหายไปเฉยๆ ที่จริงแล้วอาจเกี่ยวโยงกับการที่เขาเคยร้องเรียนผู้ทรงอิทธิพลคนนี้ ทำให้ไม่มีคนเสนอบทดีๆ ให้เขา และก็ไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมงานประกาศรางวัลอีก

คนที่เฟรเซอร์ระบุถึงคือ ฟิลิป เบิร์ค (Philip Berk) อดีตประธานสมาคมสื่อต่างประเทศแห่งฮอลลีวูด หรือ Hollywood Foreign Press Association (HFPA) ซึ่งเป็นองค์กรที่จัดงานประกาศรางวัลลูกโลกทองคำ (Golden Globe Awards) ทำให้เบิร์คคือบุคคลสำคัญคนหนึ่งในวงการนี้

แม้แต่เฟรเซอร์ที่เป็นนักแสดงหนุ่มดาวรุ่ง เมื่อเจอกับเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงหรูหราในปี 2003 ก็กลายเป็นปมในใจ และทำให้เขาหวาดกลัวจนไม่กล้าออกมาพูดเรื่องนี้กับใคร จนกระทั่งเกิดกระแส #MeToo และคนที่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหยื่อไม่ยอมเงียบอีกต่อไป ทำให้เขายอมออกมาพูดถึงเรื่องนี้และทำให้สังคมได้รู้ว่าคนทุกเพศมีสิทธิ์เจอกับเรื่องแบบนี้ไม่ต่างกัน

ในบทสัมภาษณ์ เฟรเซอร์บอกว่า เบิร์คที่อยู่ในงานเลี้ยงได้บีบก้นเขาและยังใช้นิ้วหมุนวนใกล้กับอวัยวะสำคัญของเขา ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้เขารู้สึกสะอิดสะเอียนและหวาดกลัวการเจอผู้คน แต่หลังจากนั้นเขาได้ให้ตัวแทนของเขายื่นเรื่องถึง HFPA เพื่อแจ้งเรื่องเบิร์คอย่างเงียบๆ และก็ไม่ได้บอกใครเรื่องนี้นอกจากภรรยาของตัวเอง

สิ่งที่เห็นได้ชัดหลังจากนั้นคือ งานที่เคยเสนอให้เขาค่อยๆ หดหายไป ทั้งที่ในปี 2004 เขาได้ร่วมงานในหนังเรื่อง Crash ที่คว้ารางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปครอง แต่งานที่เสนอมาให้เขาหลังจากนั้น (ซึ่งก็เกิดขึ้นหลังจากที่เขามีกรณีกับเบิร์คเช่นกัน) กลับมีแต่งานที่ไม่โดดเด่นและไม่ใช่งานสร้างที่ลงทุนอะไรมากนัก

ช่วงหนึ่งชาวเน็ตในอเมริกาจึงพูดถึงเฟรเซอร์ในฐานะนักแสดงที่เลือกบทผิดพลาดและอาชีพดิ่งลงเหวหลังผลงานบล็อกบัสเตอร์อย่าง The Mummy แล้วก็หายหน้าหายตาไป โดยมีคนล้อเลียนว่าเขาคงเล่นได้แค่บทตลกที่เคยรับเป็นประจำจนคนดูติดภาพ ก็เลยไม่มีคนเสนอบทหนักๆ ให้เขาเล่น

จนกระทั่งเฟรเซอร์ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องการถูกล่วงละเมิดทางเพศว่าเป็นสาเหตุที่แท้จริง ที่ทำให้เขาต้องถอยออกมาจากงานแสดงและวงการบันเทิง ทำให้คนดูเริ่มสงสัยว่าเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลในวงการที่เขาไปมีเรื่องขัดแย้งด้วยหรือเปล่า

สาเหตุหนึ่งที่คนเชื่อคำให้สัมภาษณ์ของเฟรเซอร์ทันที เพราะก่อนหน้านี้เขามีประวัติสะอาดสะอ้าน และคนที่เคยร่วมงานกับเขาต่างก็ยืนยันความเป็นคนจิตใจดี จึงเห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ทำให้ชีวิตของเขาปัดเป๋ไปไม่ใช่เหล้า ยา ชื่อเสียง หรือผู้หญิง แต่เป็นเพราะด้านมืดของฮอลลีวูดที่ปกปิดกันมานานจนกระทั่งระเบิดออกมาในยุคที่คนขับเคลื่อนกระแส #MeToo ไม่กี่ปีที่ผ่านมา

เฟรเซอร์บอกว่า เขารู้สึกหวาดกลัวจนเลือกที่จะเงียบ แต่พอได้เห็นคนออกมาเคลื่อนไหวเรื่อง #MeToo ก็รู้สึกว่าได้รับกำลังใจและตัดสินใจออกมาพูดถึงเรื่องนี้ตรงๆ

ส่วน ฟิลิป เบิร์ค ที่เป็นคู่กรณีกับเฟรเซอร์ พูดถึงเรื่องนี้ผ่านสื่อเหมือนกัน โดยบอกว่ามีเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้เกิดขึ้นจริง แต่ยืนยันว่าเขาเพียงแค่บีบก้นของเฟรเซอร์เพื่อล้อเล่นกันขำๆเท่านั้น ไม่ใช่การจงใจล่วงละเมิดทางเพศอย่างแน่นอน ซึ่งสุดท้าย HFPA ก็ออกแถลงการณ์ว่าจะไม่ยอมรับการกระทำที่เข้าข่ายคุกคามทางเพศ และสั่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนเบิร์คเรื่องนี้ รวมถึงเรื่องที่คนอื่นๆ ร้องเรียนเขาหลังปี 2018 เช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ เมื่อเฟรเซอร์หวนคืนวงการอีกครั้งด้วยการรับบทชายน้ำหนักเกินที่พยายามจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับลูกสาวในภาพยนตร์เรื่องล่าสุด The Whale กำกับโดย ดาร์เรน อะโรนอฟสกี (Darren Aronofsky) ที่เคยมีผลงานดัง The Wrestler (2008), Black Swan (2010) และล่าสุด Mother! (2017) จึงเป็นการพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า เขาคือนักแสดงที่ถ่ายทอดความเป็นมนุษย์ออกมาได้อย่างน่าทึ่ง ถ้ามีบทดีๆให้เขาเล่น ทั้งยังลบล้างคำสบประมาทที่มีคนเคยตัดสินว่าเขาเป็นได้แค่นักแสดงตลกที่ไม่ลึกซึ้งอะไร โดยพิสูจน์ได้จากการที่คนดูและนักวิจารณ์ในเทศกาลหนังเวนิสยืนปรบมือให้เขานานหลายนาที

ทั้งนี้ ในหนังเรื่อง The Whale เฟรเซอร์ต้องแบกน้ำหนักตัวราว 300 ปอนด์ ซึ่งเป็นชุดสังเคราะห์ที่ติดไว้กับตัวเขาระหว่างถ่ายทำ ซึ่งแค่จะเดินเองก็ยังลำบาก เพราะต้องให้นักแสดงคนอื่นๆ หรือทีมงานช่วยพยุงทุกครั้งที่เขาต้องขยับตัวหรือเคลื่อนไหว

และด้วยความที่ครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยแบกน้ำหนักในใจของตัวเองมานานหลายปี เมื่อต้องมารับบทคนที่น้ำหนักเกินและต้องเผชิญกับความยากลำบากจากการเลือกปฏิบัติ รวมถึงการเหยียดจากคนรอบข้างก็มีส่วนอย่างมากที่ทำให้เขาเข้าใจตัวละครได้อย่างถึงแก่น และเขามองว่า คนที่ต้องเจอเรื่องแบบนี้ในชีวิตจริงต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งอย่างมาก

บทนี้ทำให้ผมชื่นชมคนที่มีรูปร่างแบบเดียวกันนี้ เพราะผมได้เรียนรู้ว่าคุณจะต้องเป็นคนที่เข้มแข็งอย่างมาก ไม่ว่าจะทางกาย ทางใจ เพื่อดำรงอยู่ให้ได้ในสภาวะแบบที่เป็น

ซึ่งคนดูจำนวนไม่น้อยก็เห็นตรงกันว่า เขาเองก็เข้มแข็งเหมือนกันที่รอดพ้นจากด้านมืดและจุดตกต่ำของชีวิตมาจนสามารถพิสูจน์ตัวเองได้อย่างสง่างามในวันนี้

อ้างอิง