รีวิวอุทยานแห่งผืนดิน: จากการล่าสัตว์และเก็บของป่า สู่ทุนนิยมโลกาภิวัตน์และโลกหลังจากนี้!
Garden Earth: From Hunter and Gatherer to Global Capitalism and Thereafter (อุทยานแห่งผืนดิน: จากการล่าสัตว์และเก็บของป่า สู่ทุนนิยมโลกาภิวัตน์และโลกหลังจากนี้ )
เขียนโดย กุนนาร์ รุนด์เกรน (Gunnar Rundgren) นักคิดเชิงวิพากษ์ ชาวสวีเดน ผู้ริเริ่มองค์กรเกษตรอินทรีย์หลายแห่งในประเทศสวีเดน เขียนหนังสือหลายเล่มด้านการเกษตรอินทรีย์ พร้อมทั้งเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นที่ปรึกษาอาวุโสด้านการพัฒนานโยบายและกลยุทธ์การตลาดให้ทั้งองค์กรรัฐ /เอกชน /NGO / องค์กรระดับโลกอย่างธนาคารโลก (World Bank) และองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) จัดตีพิมพ์ครั้งแรก ปี พ.ศ. 2557 โดยสำนักพิมพ์สวนเงินมีมา แปลโดย เขมลักษณ์ ดีประวัติ พร้อมคณะ
ถ้ามีคนถามว่าหนังสือเล่มนี้น่าอ่านไหม? มันก็เป็นอะไรที่ตอบไม่ยาก แต่ตรรกะของเรากับอีกหลายๆ คนคงจะสวนทางกันมากอยู่ ที่จริงก็จัดเป็นหนังสืออีกเล่มที่น่าอ่านมากอยู่เหมือนกัน (และครั้งหนึ่งก็ต้องอ่านให้ได้) ในแง่ของการย้อนกลับมาทำความความเข้าใจถึงแก่นแท้ของสังคมอุตสาหกรรมทุนนิยม เศรษฐกิจแบบตลาดทุนนิยม ที่ผู้เขียนสร้างความชัดเจนให้ผู้อ่านได้ดีมากว่า “ผลกระทบเชิงลบแบบสุดขั้วในการเปลี่ยนผ่านออกจากสังคมนักล่าสัตว์และนักเก็บของป่า เข้ามาสู่สังคมเกษตรกรรม และจากนั้นก็เปลี่ยนเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรม โดยมีกลไกการตลาดทุนนิยมเข้ามาครอบครองชีวิตมนุษย์ในทุกแง่มุม” และด้วยความสำเร็จนี้ก็นำมาซึ่งความเป็นสังคมโลกาภิวัตน์ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารจากทั่วโลกได้ตลอดเวลา รวมถึงได้มีองค์ความรู้ที่หลากหลายยิ่งขึ้นจากทุกมุมโลกในยุคปัจจุบัน ผ่านเทคโนโลยีก้าวไกลและล้ำสมัยอย่างไร้ขีดจำกัด ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างมากมายเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจของสังคมมนุษย์ยุคใหม่ และสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากกระบวนการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมในรูปแบบต่างๆ ไว้หลายประเด็น อย่าง วิกฤตพลังงานครั้งแรกในปี ค.ศ. 1973 จนทำให้เกิดการถกเถียงกันมากมากขึ้นในเรื่อง “ความยั่งยืน” ในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้มั่นคงมากขึ้น โดยมีการพัฒนาแหล่งพลังงานทางเลือก อย่าง “พลังงานแสงอาทิตย์ ลม น้ำและ พลังงานชีภาพรูปแบบต่างๆ บนความหวังที่ว่าจะยังทำให้สังคมทุนนิยมยังดำเนินต่อไปได้อีกตราบนานเท่านาน”
และวิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่ที่ได้รับผลกระทบกันทั่วโลกในปี ค.ศ. 2008 /2009 ที่ทำให้ระบบทุนนิยมสั่นคลอน และผู้คนได้ตั้งข้อสงสัยกับระบบนี้กันมากขึ้น เป็นต้น ทั้งหมดที่กล่าวไปนั้น ผู้เขียนก็ชี้แจงอย่างเด่นชัดว่าระบบสังคมในปัจจุบันนี้ไม่สามารถทำให้เราก้าวไปสู่ “สังคมที่มีความยั่งยืนได้เลย” มันมีแต่จะฝากรอยแผลลึกไว้ให้คนในสังคมทั้งปัจจุบันและในอนาคตด้วย ผ่านการ “มุ่งแข่งขันกันอย่างสุดขีดของเหล่านายทุนทั่วโลก” (ที่มุ่งแสวงหาผลกำไรส่วนตนเพียงอย่างเดียวแบบไม่สนโลก) ผ่านเหล่ารัฐบาลที่จัดเป็นหน่วยสังคมที่เป็นตัวกลางในการบริหารให้เกิดความเท่าเทียมกัน แต่ในความจริงแล้ว รัฐและนายทุนก็มีไว้สนับสนุนซึ่งกันและกัน แม้รัฐจะพยายามวางตัวเป็นกลาง แต่ชาวบ้านในฐานะผู้บริโภคและผู้ผลิตรายย่อยก็มักจะโดนต่อว่า และชักจูงให้รับผิดชอบต่อสังคมและโลกช่วยกันอย่างเร่งด่วน แทนที่พวกนายทุนและรัฐจะยอมรับความผิด (ที่ให้อภัยไม่ได้เลย!) และแก้ไขตัวเองอย่างสุดโต่ง แต่สิ่งที่พวกเขาทำก็แค่โยนความผิดอันซ้ำซากออกไปให้สามัญชนรับผิดชอบร่วมกัน ในขณะเดียวกันพวกเขาก็มุ่งทำกำไรส่วนตนอยู่ต่อไป! ผ่านเหล่าประชาสังคม (ที่มุ่งกีดกันอำนาจรัฐและนายทุนอยู่บ้าง เพื่อสร้างความเสมอภาคให้กับสังคมในแบบประชาธิปไตย แต่ก็ยังไม่หลุดออกจากกรอบของความเป็นมนุษย์นิยมอยู่ดี) และผ่านเหล่าประชากรโลกที่โดนขูดรีด เอารัดเอาเปรียบอย่างจงใจจากพวกนายทุน จากรัฐชาติ และจากกันเองอีกรอบหนึ่ง จากความหวังที่ระบบทุนนิยมมอบไว้ให้ว่า “ทุกคนมีสิทธิ์และโอกาสเป็นผู้ที่มั่งคั่งร่ำรวยได้เหมือนกัน” (ซึ่งมันเป็นตัวกำหนดให้ประชากรโลก “มัวมกมุ่น” อยู่กับการเงินและอำนาจ ด้วยการโดนเรียกว่าเป็นนักบริโภคนิยม ที่เน้นความเป็นปัจเจกนิยมอย่างสุดโต่ง นี่ก็เป็นไปตามหัวใจของทุนนิยมผ่านมือที่มองไม่เห็น
(ทั้งกลุ่มนายทุนและรัฐชาติทั้งหมดทั่วโลก ที่ไม่เคยรู้จักพอ เป็นผู้ล้างผลาญทรัพยากรส่วนรวมไปมากมายเท่าไหร่นั้น กลับไม่มีใครตั้งคำถาม ไม่ว่าเราจะรับรู้หรือไม่ก็ตาม เราทุกคนล้วนมีส่วนร่วมในการทำลายโลกในจุดนี้ จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับว่า คุณเป็นใคร คุณทำอะไร และคุณมีสถานะเช่นใดในสังคมนี้ น่าเสียดายที่ผู้คนในสังคมยังยอมจำนนให้นายทุนจ่มด่าและโยนความผิดให้คนเล็กคนน้อยต่อไปทั้งๆ ที่มีบทบาทน้อยเหลือเกินในการล้างผลาญทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นของส่วนรวม! ปล.ที่ใส่ในวงเล็บเป็นมุมมองส่วนตัวของเราเองนะ)
จากการสร้างกำไรอันมั่งคั่งอย่างไร้จุดจบของกลุ่มคนไม่เพียงกี่คนภายในช่วง 200 ปีมานี้เอง “ผ่านการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล” ที่ส่งผลให้อุตสาหกรรมทุนนิยมเกิดขึ้นได้ และเป็นตัวการหลักที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในภาคเกษตรกรรม (ที่เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สูงระดับต้นๆ รองจากภาคการผลิตและการแปรรูปในโรงงานอุตสาหกรรมทั่วโลก) ภาคอุตสาหกรรมการผลิต และการกระจายสินค้าเข้าสู่ตลาดโลกที่ซื้อขายกันได้อย่างเต็มที่มาโดยตลอด แต่แล้วมันก็ส่งผลร้ายอันมิอาจจะนำกลับคืนมาได้อีก นั่นก็คือ “จากกิจกรรมการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ ต่างก็ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลายประเภท หลักๆ ก็เป็น คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไนตรัสออกไซด์ เป็นต้น” สู่ชั้นบรรยากาศโลกมากสุดอีกด้วย ภาคเกษตรกรรมขนานใหญ่ก็เช่นกัน ที่ทำลายคุณภาพดิน น้ำ ระบบอาหาร ระบบอากาศ และระบบนิเวศของโลกไปอย่างถาวรตามลำดับ
จากแง่มุมของสังคมล่าสัตว์และเก็บของป่าที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้เพียงผิวเผินเท่านั้น ก็รู้สึกว่าผิดหวังกับความย้อนแย้งของเขามาก เพราะเหมือนผู้เขียนจะยังไม่กล้ายอมรับอย่างเต็มปากว่า “สังคมมนุษย์ในยุคบรรพบุรุษมีความยั่งยืนกว่า และดำรงอยู่สอดคล้องกันกับโลกธรรมชาติได้มาโดยตลอด” ผู้เขียนยกตัวอย่าง เช่นว่า มีการทำลายพื้นที่ป่าโดยการเผาและทำไร่หมุนเวียน และการล่าสัตว์ใหญ่จนสูญพันธุ์ในอดีตนั้น ย่ำแย่เท่ากันกับสิ่งที่คนในสังคมยุคใหม่กระทำกัน
(เพื่อให้คนเห็นภาพว่า ไม่ใช่แค่คนยุคใหม่ที่ทำเกินขีดจำกัดของธรรมชาติ แต่ผู้คนในเศษเสี้ยวของช่วงเวลาเมื่อราว 12,000 ปีลงมานี้ก็มีส่วนทำลายโลกธรรมชาติไม่แพ้กัน นี่ไม่รวมระยะเวลาก่อนหน้าที่เหลือทั้งหมดเข้าไปด้วย ที่ปรากฏหลักน้อยชิ้นเหลือเกินว่ามนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์ก็มีส่วนทำลายล้างทรัพยากรของโลกเช่นกัน ผู้เขียนแค่เหมารวมเข้ากันในช่วงเวลาสั้นๆ นี้เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นผลมาจาดสังคมเกษตรกรรม และใช้อ้างเป็นเสมือนประวัติศาสตร์ของมนุษย์ยุคปัจจุบันทั้งหมดในห้วงเวลาทั้งหมดกว่า 300, 000 ปี) ผู้เขียนยังชักจูงผู้อ่านให้เห็นว่ามนุษย์ยุคก่อนทำลายมากกว่าเสียอีกในบางกรณี แต่นั่นกลับไม่ใช่ความจริงเลย! เหล่าผู้รู้ต้องมาวิจารณ์แนวคิดนี้กันมากขึ้น จากมุมนี้เรามั่นใจว่าผู้เขียนรวมเอากลุ่มชนที่เริ่มหันมาทำการเพาะปลูก เริ่มอาศัยอยู่ที่เดิม และเริ่มเลี้ยงสัตว์ และขยายพื้นที่ทำกินไปเรื่อยๆ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มชนสังสังคมเกษตรแล้ว จึงไม่เกี่ยวกับกลุ่มชนที่ดำรงอยู่ในแบบล่าสัตว์และเก็บของป่าแต่อย่างใด แต่ผู้เขียนเหมารวมเป็นเรื่องเดียวกัน) นี่คือตัวอย่างความย้อนแย้งและอคติของผู้เขียน!
เมื่อคนหันมาทำเกษตรกรรมมากขึ้น ผู้คนก็เริ่มมีความคิดเกี่ยวกับการมีที่ดินส่วนบุคคล การมีสิทธิครอบครอง การใช้อำนาจกดขี่และข่มเหงผู้น้อย มีการสร้างรัฐ ศาสนา และสถาบันต่างๆ อย่างสถาบันการเงิน ตลาด เศรษฐกิจ การแบ่งชนชั้นทางสังคม การแบ่งแยกแรงงาน และการแบ่งงานกันทำ การมุ่งสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (ทั้งหมดที่กล่าวมาต่างก็ริเริ่มโดยชนชั้นปกครองที่ควบคุมlสังคมส่วนที่เหลือมาโดยตลอด!) และทุกสิ่งอย่างนี้เองก็นำมาซึ่งจุดพลิกผันของวิกฤตพลังงานในโลกปัจจุบัน (ประวัติศาสตร์ดังกล่าวนี้กลับจัดอยู่ในห้วงเวลาเพียงไม่มีกี่พันปีเท่านั้นเองในแง่ของการก่อตั้งอารยธรรมและเพียงไม่กี่ร้อยปีที่มีการใช้สอยทรัพยากรเกินขีดจำกัดของระบบนิเวศของโลกแบบไม่เคยมีมาก่อน)
มุมมองส่วนตังของเราเอง: ในการแก้ไขปัญหาใดๆ ก็ตาม โดยเฉพาะปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติเหลือน้อย และปัญหาสภาพแวดล้อมเสื่อมโทรมไปอย่างดรวดเร็ว ที่ยึดเอาเพียงแนวคิดมนุษย์นิยมเป็นหลัก กล่าวคือ ยึดตามความต้องการของมนุษย์ มนุษย์ต้องมาก่อนสิ่งอื่น ถ้าผลประโยชน์ไม่เอื้อให้กับมนุษย์เท่าไหร่ หลายๆ ประเด็นก็มักจะโดนปัดทิ้งกันไป เพราะไม่ตอบสนองความต้องการของมนุษย์เอง อย่างเนื้อหาที่เจอในเล่มนี้ก็เหมือนกัน ผู้เขียนเชื่อมโยงปมปัญหาของสังคมยุคใหม่นี้ได้อย่างดิบดี “ในแง่ของกลุ่มผู้ร้ายที่มุ่งทำลายชีวิตอื่นและเก็งกำไรให้แค่ตัวเอง”
แต่แล้วเขาก็นำเสนอทางออกที่มุ่งตอบสนองเพียงแค่ความต้องการของมนุษย์อยู่ต่อไป แล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงได้บ้าง ถ้าไม่มีใครอยากจะลองถอยห่างออกจากกรอบนี้เลย เราจะแก้ไขและจะรับมือกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ทั้งทางบก ทางทะเล และปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงสุดขั้ว/ ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์/ ปัญหาความมั่นคงทางอาหาร / ปัญหาโลกธรรมชาติที่กำลังถูกกลืนกินไปอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการพัฒนาและความก้าวหน้าทันสมัย เป็นต้น เราจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เลยบนแนวคิดมนุษย์นิยมเป็นหลัก แต่เมื่อใดก็ตามที่เราถอยห่างออกจากกรอบนี้ได้ เราเชื่อว่า วิถีใหม่จะเกิดขึ้น นั่นก็คือ “การฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของโลกธรรมชาติต้องมาก่อนความต้องการของมนุษย์ และกลับคืนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศในฐานะผู้ช่วยดูแลและช่วยอนุรักษ์ ไม่ใช่เข้าไปเป็นผู้ควบคุมและจัดการเช่นเดิมอีก” นี่คงจะเป็นจุดเปลี่ยนที่คงจะเข้าใกล้ความยั่งยืนได้มากกว่าในอนาคต
การกลับคืนไปอยู่ในสวนสวรรค์อีเดน และทำเกษตรอินทรีย์ ตามที่ผู้เขียนนำเสนอให้ผู้อ่านในส่วนท้ายของเล่มนั้น คงจะไม่เพียงพอที่จะรับมือกับระดับมวลปัญหาที่เราทั้งหลายเผชิญกันอยู่ในวันนี้ได้เลย แม้ว่าผู้เขียนพูดอย่างตรงไปตรงมาผ่านหน้ากระดาษว่า “เราไม่อาจจะย้อนกลับไปเป็นนักล่าสัตว์เก็บของป่าได้เหมือนในยุคอดีต” (นั่นก็จริงอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเข้าไปสัมผัสการดำรงอยู่เช่นนั้นอีกไม่ได้ เพราะหากวิถีการดำรงอยู่เช่นนี้สามารถรอดพ้นสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงมาหลายครั้งหลายหนได้แล้วนั้น เราคงจะต้องย้อนกลับไปศึกษาวิถีชีวิตของพวกเขากันให้มากขึ้น และนำมาปรับใช้ให้ลงตัวในแบบของเราให้ได้ นั่นจะมีความหวังมากกว่าที่เราจะต้องไปฝากชีวิตไว้กับแค่เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ล้ำสมัย) ปล. ทุกวงเล็กคือความเห็นส่วนตัวของเราเอง!
จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้านการใช้ทรัพยากรของธรรมชาติก็คือการปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18 ที่เริ่มมีการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ถ่านหิน น้ำมันดิบ และก๊าซธรรมชาติต่างๆ และมนุษย์ก็มีพลังงานมากกว่าเดิมให้ใช้สอยกันอย่างไม่ลืมหูลืมตาว่า “วันหนึ่งมันก็จะหมดไป” การพัฒนาอุตสาหกรรมจึงทำให้มนุษย์ควบคุมธรรมชาติยิ่งมากขึ้นตามมา!
การเปลี่ยนผ่านออกมาจากสังคมนักล่าและนักเก็บ มาเป็นสังคมเกษตรกรรม ไม่ได้ทำให้ผู้คนมีมาตรฐานชีวิตที่ดีขึ้น แต่เป็นตรงกันข้ามมากกว่า เพราะสังคมเกษตรกรรมขาดความเท่าเทียมกัน ผู้คนโดนเอารัดเอาเปรียบและโดนกดขี่และขูดรีดอย่างไม่เคยมีมาก่อน ในขณะเดียวกัน ชนชั้นปกครองและกลุ่มคนที่สนับสนุนพวกเขาต่างก็มั่งคั่งร่ำรวยมากขึ้น แต่คนส่วนใหญ่ อย่าง ชาวบ้าน บริวาร และทาสกลับยากจนอยู่ล่ำไป
เพราะเหตุใดบ้างสังคมในอดีตจึงล่มสลาย?
ผู้เขียนยกตัวอย่างจากหนังสือ Collapse (2005) ของไดมอนด์ หรือ Jared Diamond ที่ได้อธิบายลักษณะการล่มสลายของอารยธรรมและสังคมในอดีตไว้ว่า:
มันเกิดจากการถดถอยของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ที่เป็นผลมาจาก การทำลายป่าไม้ /ดินเสื่อมสภาพ /การสูญเสียหน้าดิน /การควบคุมการใช้น้ำ /การแสวงหาประโยชน์มากเกินไป และจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ เป็นต้น เพื่อนบ้านในชุมชนขัดแย้งและก้าวร้าวต่อกัน สภาพอากาศเปลี่ยนรุนแรงและฉับพลัน เช่น สภาวะน้ำท่วมรุนแรง และสภาวะแห้งแล้งยาวนาน การสูญเสียเส้นทางการค้า *(เราจึงคิดว่าอีกปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน ที่อาจจะเป็นตัวเร่งให้สังคมยุคใหม่เกิดการล่มสลายฉับพลันขึ้นได้ก็คือ “การปล่อยก๊าซเรือนกระจกครั้งมหึมา” และการสูญเสียและขาดแคลนทรัพยากรหลักๆ เป็นจำนวนมาก ที่จัดเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของสังคมยุคใหม่อีกทางหนึ่ง)
สุดท้ายคำถามที่ได้รับจากหนังสือเล่มนี้ก็คือ: ถ้าพลังงานคือศูนย์กลางของสังคมอุตสาหกรรม (ที่มีเพียงเหล่านายทุนและรัฐชาติหลวมรามอำนาจกันเป็นผู้ควบคุมทุกสิ่งอย่างไว้ในกำมืออย่างสุดโต่ง โดยที่ทุกภาคส่วนที่เหลือ “รวมถึงโลกธรรมชาติและมนุษย์ส่วนที่เหลือด้วย” ที่ต้องคอยเป็นเบี้ยล่างให้พวกเขาใช้แรงงานต่อไปตลอดกาล และปล่อยให้พวกเขาใช้สอยฐานทรัพยากรส่วนรวมไปอย่างฟุ่มเฟือยแต่ฝ่ายเดียวกระนั้นหรือ) ในขณะที่ “ความอิสระและเท่าเทียมกันอย่างแท้จริงคือศูนย์กลางของสังคมล่าสัตว์และเก็บของป่า” ที่ซึ่งทุกคนต่างก็เป็นผู้นำตัวเอง และเป็นเพียงผู้ติดตาม ในโลกธรรมชาติ ที่ซึ่งไม่มีผู้นำหลักที่ออกคำสั่งให้ทุกคนอื่นที่เหลือต้องปฏิบัติตาม ที่ซึ่งใครจะทำอะไรตอนไหนก็ได้ ตามที่เขาหรือเธออยากจะทำตามแต่สภาพการณ์จะเอื้ออำนวยไป ที่ซึ่งผู้คนมีความต้องการเพียงน้อยนิดเสมอไป ที่ซึ่งผู้คนรู้จักใช้สอยทรัพยากรตามเท่าที่จำเป็นโดยแท้ และที่ซึ่งทุกคนต่างก็เพียงดำรงอยู่และสืบพันธุ์ต่อไปตามวัฐจักรธรรมชาติ และในวันนี้เองที่ทุกคนทั่วโลกต่างก็โหยหาถึง “ความเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์” แล้วเราจะเป็น “ผู้ที่เลือกเองได้ตามสัญชาติญาณของตน” หรือเราจะ เป็นผู้ถูกเลือกให้ต้องไปทำหน้าที่อันใดอันหนึ่งตามแต่ความชำนาญการขั้นสุดยอดของตนอยู่ล่ำไป ภายอยู่ภายใต้เงื่อนไขและกลไกอันไร้ขีดจำกัดของเหล่าผู้นำโลกเพียงไม่กี่คนกระนั้นหรือ?
เราก็ขอจบรีวิวไว้เพียงเท่านี้ ขอชวนอ่านต่อทั้งเล่ม “เพื่อเกิดการคิดวิเคราะห์และวิจารณ์แนวคิดมนุษย์นิยมไปด้วยกัน”
ปล. (การทำรีวิวหนังสือของเราไม่ใช่เพื่อการโฆษณาทางการค้า แต่เป็นเพียงความสนใจส่วนตัว ที่อยากจะแบ่งปันมุมมองของตนร่วมกับผู้คนที่สนใจแนวทางเดียวกัน เพื่อใช้เป็นงานอ้างอิงงานเขียน การศึกษาอิสระ หรือใช้ยกตัวอย่างในการถกเถียงในหัวข้อการสับเปลี่ยนวิถีชีวิตออกจากสังคมล่าสัตว์และเก็บของป่า มวลปัญหาของสังคมและวัฒนธรรมมนุษย์ยุคใหม่ โอกาสในการอยู่รอดในโลกหลังจากนี้จะเป็นเช่นไร และเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเท่านั้น!) ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามบทรีวิวหนังสือของเรา ^.^