10 Min

“การเรียนรู้ด้านสว่าง บางครั้งก็ต้องโยนตัวเองเข้าไปอยู่ในความมืด” เบนจมิน โจเซฟ วาร์นี

10 Min
1410 Views
12 Mar 2021

“ในที่สุดเขาก็มีเพลงของตัวเองสักที!! หลังจากเป็นพระเอก MV อยู่นาน”

ท็อปคอมเมนต์ของเพลง Thai Tea ในยูทูบที่มาคนไลก์กว่า 1.5k ได้กล่าวไว้

ต้องยอมรับว่า เบนจมิน โจเซฟ วาร์นี คือชายหนุ่มที่ปรากฏตัวในมิวสิควิดีโอเพลงไทยมากมาย จนได้รับฉายาว่า
‘เจ้าพ่อเอ็มวี’ แต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เรากลับลืมภาพเหล่านั้นไปจนหมดสิ้นด้วย ‘ชาไทย’

‘Thai Tea’ คือบทเพลงที่ทำให้เราได้เห็นเบนจมินในบทบาทศิลปินแบบเต็มเหนี่ยว เพราะเขาบรรจงแต่ง ร้อง และแสดงออกมาอย่างตั้งใจ จนพูดได้เต็มปากว่า คนนี้ของจริง!

แต่นอกเหนือจากเพลงชาไทยรสหวานหอม ที่ซ่อนความดุดัน เข้มข้น จนอยากลิ้มลองซ้ำๆ ด้วยการเปิดวน เขาคนนี้ยังมีอีกหลายด้านที่คุณอาจนึกไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็น กิจการร้านล้างรถ Wash Now ที่เพิ่งเปิดหมาดๆ ไปจนถึงความสนใจด้านปรัชญาและจิตวิทยาที่ทำให้มุมมองชีวิตของเขาแตกต่างออกไป

มาจิบชาไทยรสเข้มของ ‘เบนจมิน โจเซฟ วาร์นี’ กันในบทสัมภาษณ์นี้เลย

“มาล้างเลยดิ มาล้างเลย”

เจ้าพ่อเอ็มวี นักแสดง นักร้อง หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับ ‘เบนจมิน โจเซฟ วาร์นี’ กับบทบาทเหล่านี้ แต่อีกมุมที่เราอยากชวนคุณทำความรู้จักเขาให้มากกว่าเดิมคือ เจ้าของร้านล้างรถที่ชื่อ Wash now

ร้านล้างรถเปิดมาตั้งแต่เมื่อไหร่?

“กำลังเข้าเดือนที่ 2 แล้ว ร้านนี้เป็นไอเดียของเพื่อนกับน้องอีกคนชื่อ ‘บุ๊ค’ และ ‘บาส’ สองคนนี้เขาชอบเรื่องรถอยู่แล้ว ส่วนเราเองก็ไม่ได้อินกับรถมาก ตอนเด็กๆ ชอบดูพวก Fast and Furious ก็เลยรู้สึกชอบรถมาตั้งแต่สมัยนั้น ซึ่งเราก็ไม่ได้สานต่อ เพราะตอนนั้นไม่ได้มีตังค์เยอะ แต่พอโตมาถึงจุดหนึ่ง เพื่อนชวนมาทำก็เลยคิดว่าตอนเด็กเคยชอบนี่หว่า งั้นลองมาทำดู ก็เลยเกิดเป็น Wash Now

ทำไมต้อง “Wash Now”

Wash Now จริงๆ ชื่อนี้น้องบาสเป็นคนตั้ง เรารู้สึกว่ามันเป็นชื่อที่ค่อนข้างเป็นกันเองกับลูกค้า คือชัดเจนเลยว่า มาล้างเลยดิ มาล้างเลย ชิลนะ ถ้าดูป้ายข้างหลังก็จะเขียนเลยว่า Clean / Fast / Friendly เราอยากให้มันเป็นร้านล้างรถที่เป็นมิตรกับคน มีอะไรก็ติชมได้เสมอ

“ล้างรถ คือการกลับมาอยู่กับตัวเอง”

หลังจากทำร้านล้างรถกลับมาอินกับรถมากขึ้นหรือเปล่า?

“พอมาทำแล้วอินขึ้นมาก แต่อินเรื่องการทำความสะอาดรถมากกว่า ตอนแรกคิดว่าทำความสะอาดรถก็แค่ทำความสะอาดรถ แต่จริงๆ มันจะมีความฟินบางอย่าง เหมือนเราได้ทำความสะอาดห้องที่รก เก็บทุกอย่าง จัดทุกอย่างให้เป็นระเบียบ”

“ส่วนมากเราจะอยู่แผนกล้างโซนเปียก ถอยรถเข้ามาปุ๊บก็จะใช้ปืนฉีดน้ำพ่น แล้วก็พ่นโฟมต่อ ที่ชอบคือตอนเอาผ้าชามัวร์เช็ดให้แห้ง พอใช้ผ้าชามัวร์ลูบลงไป หยดน้ำก็จะหายไปเลย รู้สึกพึงพอใจกับมันมาก”

“ยิ่งช่วงโควิด-19 ไม่มีงาน ไม่ได้ไปถ่ายซีรีส์ อยู่บ้านเฉยๆ มีเขียนเพลงบ้าง เรารู้สึกว่าอยากทำอะไรที่มันไม่ต้องคิดเยอะ ทำแบบเงียบๆ ซึ่งการทำความสะอาดรถมันไม่ต้องคิดอะไรเยอะ บางทีใส่หูฟังแล้วก็ล้างรถไปเรื่อยๆ ก็เพลินๆ ไป”

“แต่ช่วงบ่ายมันจะร้อนนิดนึง”

“ล้างรถมันแป๊บเดียวลูบแล้วฟินเลย ไม่ต้องคอยหาความสุขจากโลกโซเชียลเท่าเมื่อก่อน”

ถ้าเปรียบเทียบ Wash Now กับสิ่งที่ต้องชำระล้างออกไป เช่น เรื่องราวในอดีต คิดว่าตัวเองมีอะไรที่อยากชำระล้างหรือทิ้งมันไปไหม?

“ไม่ต้องอดีตก็ได้ อย่างแค่การทำเพลง เราก็เพิ่งรู้ว่าเราเป็นคนทำงานที่ยึดตัวเองเป็นหลัก พอปล่อยงานออกไปสู่โลกภายนอก มันก็เกิดการติชมเป็นเรื่องปกติ แต่เรารู้สึกว่าเดี๋ยวนี้คนเราอยู่กับมือถือตลอดเวลา บางทีเราสั่งร่างกายว่าไม่อยากอ่านคอมเมนต์ ร่างกายมันก็ยัง อะ ไปดูหน่อยละกัน เลยรู้สึกว่าการล้างรถมันช่วยให้เราออกจากโลกโซเชียลได้มากขึ้น เมื่อก่อน เราเล่นมือถือไม่ได้เยอะมาก แต่ก็ถือว่าเยอะ แต่พอมาทำร้านล้างรถก็รู้สึกว่า เออ มันได้อยู่กับปัจจุบัน มัน enjoy the moment ได้มากขึ้น”

ตั้งแต่ปล่อยเพลง Thai Tea ออกมา กลับไปอ่านคอมเมนต์บ่อยหรือเปล่า?

“มีบ้าง แต่ก็จะไม่ได้อ่านนาน ไม่ได้หมกมุ่นกับมันเท่าไหร่ รู้สึกว่าไปล้างรถดีกว่า มันจะได้ทำอะไรที่เห็นผลทันที ล้างรถมันแป๊บเดียวลูบแล้วฟินเลย ไม่ต้องคอยหาความสุขจากโลกโซเชียลเท่าเมื่อก่อน”

“ผมชอบรถวินเทจ”

มีเคล็บลับการล้างรถอย่างไรบ้าง?

“ใจเย็น ไม่ต้องรีบ ค่อยเป็นค่อยไป เคล็ดลับหลักๆ คือต้องมีเพลง เรารู้สึกว่า การฟังเพลงแล้วล้างรถเป็นอะไรที่โคตรเวิร์ก ใครไม่เคยลองต้องลอง ทำเพลย์ลิสต์ ใส่หูฟัง แล้วก็ไหลไปกับมันเลย แป๊บเดียวมันก็จะ… ฮะ! เสร็จแล้วเหรอ เวลามันผ่านไปโดยที่รู้สึกว่าไม่คิดอะไรเลย”

ชอบรถแบรนด์อะไร รุ่นอะไร?

“ผมชอบรถวินเทจ จริงๆ ชอบ E30 แล้วก็ E36 คือเราจะสนใจรถยุค 80s กับยุค 90s เราชอบทรงของ BMW ยิ่งเป็นเซตเก่าๆ รู้สึกว่าดีไซน์มันไม่มีวันตาย ดูยังไงก็สวย วัยรุ่น เท่”

“บางทีเราคิดว่าเดี๋ยวค่อยทำก็ได้ ทิ้งไว้แป๊บนึง ตัดภาพไปอีกที สองเดือนแล้วเหรอ ปีนึงแล้วเหรอ?”

มาที่เรื่องเพลงบ้าง เคยไปดูที่ให้สัมภาษณ์เมื่อ 2 ปีก่อน ว่าเป็นนักอยากแต่งเพลง แต่วันนี้ทำสำเร็จแล้ว ได้ออกเพลงของตัวเองด้วย รู้สึกอย่างไรบ้าง

“สองปีที่แล้วเพิ่งเริ่มตั้งใจแต่งเพลงเอง เริ่มค้นหาศัพท์ที่อยากจะใช้ แล้วก็หาแนวเพลงที่อยากจะทำ เรารู้สึกว่าเวลาคนเรามีอะไรที่ตัวเองอยากทำ มันต้องค่อนข้างมีวินัย แล้วก็ต้องรักมันมากๆ บางทีเราคิดว่าเดี๋ยวค่อยทำก็ได้ ทิ้งไว้แป๊บนึง ตัดภาพไปอีกที สองเดือนแล้วเหรอ ปีนึงแล้วเหรอ แต่บางทีมันต้องอยู่ในจุดที่เราทำมันให้เสร็จ ไม่อย่างนั้นมันจะคอยกวนใจเรา พอเพลงถูกปล่อยไปเราก็รู้สึกโล่ง ซึ่งเราก็ไม่ได้ซีเรียสมากว่ามันจะต้องดีที่สุดอยู่แล้ว”

“จริงๆ แล้วมิเชลชอบกินชาไทย”

ที่มาของ ‘Thai Tea’

“จริงๆ แล้วมิเชล (แฟน) ชอบกินชาไทยอยู่แล้ว เราก็อยากทำเพลงที่มันมีความเป็นไทยอยู่แล้ว เพราะรู้สึกว่าเมืองไทยเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ มันแค่อยู่ที่ว่าจะพรีเซนต์มันออกไปในทิศทางไหน ผมว่าบ้านเราก็มีคอนเทนต์ให้ทำค่อนข้างเยอะ อยู่ที่ว่าเราจะเรียบเรียง แล้วก็ปล่อยให้ฝรั่งเขาดูกันยังไง จริงๆ ฝรั่งเขาชอบความเป็นไทยนะ แต่อาจจะด้วยผู้ใหญ่หรืออะไรในบ้านเรา บางอย่างที่มันค่อนข้างจริงมาก เลยไม่ถูกอนุมัติให้โลกภายนอกเห็น ทั้งๆ ที่ฝรั่งเขารู้กันอยู่แล้ว”

“ถ้าเกิดเรารักมัน ก็อาจจะไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้น”

ค้นหาสไตล์เพลงที่ใช่และลงตัวได้ยังไง?

“หลักๆ ตอนทำเพลงผมรู้สึกว่าสิ่งที่จะต้องตามหา คือ มู้ดอารมณ์ เหมือนเปิดร้านกาแฟ เราก็อยากจะได้มู้ดที่เป็นสไตล์ของเรา ซึ่งการทำเพลงมันไม่ใช่ทำวันสองวัน แล้วมู้ดนั้นมันจะมา บางทีมันจะงงๆ ด้วยซ้ำ ว่ามู้ดที่เราต้องการมันต้องอิ่มแค่ไหน ไปแตะอารมณ์นั้นมากแค่ไหน มันเลยต้องให้เวลา เรารู้สึกว่า 1-2 ปีเป็นช่วงเวลาที่เหมาะเจาะพอดี แต่มันจะมาของมันเอง ต้องใช้ความอดทน ถ้าเกิดเรารักมัน ก็อาจจะไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้น”

พอใจกับเพลง Thai tea มากแค่ไหน?

“พอใจมากเลยครับ คือแค่ทำให้มันเสร็จผมก็พอใจมากแล้ว ส่วนที่เหลือพอปล่อยออกไปใครจะคิดอะไรยังไงก็ตามสบายเลย มันก็เป็นสิทธิ์ของเขาอยู่แล้ว”

“Thai tea with boba”
“Milky milky cocoa puff”

“เราพยายามจะใส่คำว่าชาไทยเข้าไป หรือการใส่ประโยค ‘Thai tea with boba’ ก็ยังไม่เคยได้ยินใครใช้ เรารู้สึกว่าบ้านเราชอบกินชานมไข่มุก ร้านชานมไข่มุกเต็มเลย แม้แต่ชาไทยก็ยังเห็นคนใส่ไข่มุก”

“ส่วน MV ได้แรงบันดาลใจมาจากหลายๆ วงที่ผมชอบ รวมถึงเนื้อเพลงด้วย อย่างเช่น ท่อน ‘milky cocoa puff’ ก็มีแรงบันดาลใจจาก The Black Eyed Peas แต่ของ The Black Eyed Peas มันเป็นการที่ไม่ได้คิดมาก่อน มันเกิดขึ้นในห้องอัดเลย เหมือนอยู่ดีๆ มันแวบออกมา เหมือนเราสะอึก ออกมาเป็นคำเอง”

“ส่วน MV คิดมาล่วงหน้าก่อนแล้ว อินสไปร์จาก Childish Gambino เพลง Sober ช็อตเพลงที่อยู่ในร้านอาหารแล้วก็เล่นไฟ แต่ของเขาไม่ได้เล่นไฟ ของเขาจะเต้นมากกว่า ของผมก็ทั้งเต้นแล้วก็เล่นไฟ แต่ผมก็พยายามจะให้หยิบคอนเซ็ปต์เขามาใช้ แต่พยายามจะให้เกียรติเขาโดยการผสมผสานกับเนื้อเรื่องเป็นการอินสไปร์มากกว่า ไม่ได้ก๊อปปี้มาทั้งหมด”

‘Milky milky cocoa puff’ ที่จริงมันแปลว่าอะไร?

“จริงๆ มันก็คือ Sex แหละครับ แต่ถ้าโยงไปเนื้อเพลงและบริบทของเพลงที่ผมแต่ง ตอนแรกของเพลงมันคือการที่ผู้ชายกลัวจะถูกผู้หญิงปฏิเสธ ยิ่งตอนนี้ทั่วโลกเขาพยายามจะผลักดันเรื่องความเท่าเทียมใช่ไหม ซึ่งเราไม่มีปัญหาเลยนะตรงนี้ แต่เราแค่อยากให้ผู้หญิงรู้บ้างเหมือนกันว่าจริงๆ แล้วถึงภายนอกผู้ชายจะดูแข็งแรง ยกแบกของอะไรได้เยอะ แต่ภายในผู้ชายก็เปราะบางเหมือนกัน”

“เมื่อก่อนตอนไปเที่ยวผับหรือไปเจอผู้หญิง ผมเคยสังเกตว่าผู้ชายมักจะให้เพื่อนไปขอเบอร์ แต่เขาจะไม่กล้าไปขอเอง เพราะผู้ชายแม่งกลัวการปฏิเสธมากเลย ไม่ว่าจะดูแข็งแรงมากแค่ไหน แต่บางคนถ้าผู้หญิงปฏิเสธก็อาจจะจมไปหลายวันเหมือนกัน อันนั้นเป็นสิ่งที่เราพยายามจะสื่อสาร แต่มันก็เป็นจินตนาการทั้งหมดแหละ”

“ส่วนช่วง ‘milky cocoa puff’ ความหมายก็คือ ถ้าเราได้สานต่อความสัมพันธ์ ประมาณว่า สมมติวันหนึ่งได้อยู่ด้วยกัน เราก็ ‘milky cocoa puff” ไง”

ทำไมถึงเลือกหยิบประเด็น ‘ผู้ชายกลัวการปฏิเสธ’ มาทำเพลง?

“เพราะเรารู้สึกว่ามันอิมแพคกับตัวเองด้วยเหมือนกัน เป็นคนเขินตั้งแต่เด็กแล้ว เรากลัวเขาปฏิเสธมันก็เลยกลายเป็นว่าเราไม่กล้าเข้าไป ไม่กล้าแม้แต่คบเลยด้วยซ้ำ มันเป็นอะไรที่อยู่กับเรามาตลอด ด้วยความเขินความกลัวกับผู้หญิง เราเลยอยากจะระบายตรงนี้ออกมา เผื่อว่าจะไปแตะผู้ชายคนอื่น เหมือนเป็นกำลังใจว่ามึงไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวล กูก็เป็นเหมือนกัน กูก็กลัวเหมือนกัน”

คิดว่าจุดสูงสุดสำหรับเส้นทางศิลปินของตัวเองมันคืออะไร?

“จุดสูงสุดมันเกิดมาแล้วสำหรับผม ที่ได้อยู่ค่าย Rats Records ได้ร่วมงานกับพี่ตุลย์ ทำเพลงกับพี่ซอล เสร็จหมดแล้ว”

“ณ ตอนนี้…จุดสูงสุดของมันก็คงเป็นตอนนี้ ผมแฮปปี้มากแล้ว แต่เดี๋ยวก็คงต้องไปนั่งคิดใหม่อีกรอบว่า โอเค เดี๋ยวเราจะดึงเพดานให้สูงขึ้นอีกยังไงดี หาเป้าหมายใหม่ๆ ยังไง แต่ ณ ตอนนี้คือแฮปปี้แล้วครับ”

พอใจกับเพลง Thai Tea มากแค่ไหน?

“พอใจมากเลยครับ คือแค่ทำให้มันเสร็จผมก็พอใจมากแล้ว ส่วนที่เหลือพอปล่อยออกไปใครจะคิดอะไรยังไงก็ตามสบายเลย มันก็เป็นสิทธิ์ของเขาอยู่แล้ว”

การแสดง VS ดนตรี

“อาจจะไปพร้อมๆ กันครับ เพราะว่าจริงๆ ผมว่าสองอย่างนี้มันคู่กัน การแสดงสำหรับผมมันคือการเรียนรู้คาแรกเตอร์ของคนอื่น แต่การทำเพลง มันคือการเรียนรู้ตัวเองมากขึ้น เหมือนที่เขาชอบบอกว่า ศิลปินจะพยายามซื่อสัตย์กับสิ่งที่เขาเขียน”

“ซึ่งมันยากนะ บางครั้งมนุษย์ไม่กล้ายอมรับกับสิ่งที่ตัวเองเป็น จริงๆ การทำเพลงมันทำให้ได้ค้นหาข้างในลึกๆ ด้วยเหมือนกัน บางทีเรายังงงเลยว่า เฮ้ย จริงๆ ‘กูเป็นคนอย่างงี้เหรอวะ? เฮ้ย กูขี้กลัวเหรอวะ? ตอนนั้นด้วยความเป็นวัยรุ่น ก็คิดว่ากูไม่ได้กลัวผู้หญิงปฏิเสธหรอก แค่เล่นตัวอะ ทำไม’ แต่จริงๆแล้วมันแฝงภายใต้ลึกๆ เลย ก็คือกลัวนั่นแหละ”

‘ทำเพลง ล้างรถ การแสดง และอื่นๆ’ ทำไมถึงมีความสนใจกับหลายสิ่ง?

“อันนี้ไม่รู้เหมือนกัน มันเกิดขึ้นของมันเอง ไม่ได้มานั่งวางแผนว่าทำไมถึงต้องทำอันนู้นอันนี้ อยู่ดีๆ ตัดภาพมาอีกทีก็ โห ทำร้านล้างรถว่ะ การแสดง ทำเพลง มันเกิดขึ้นเอง”

“แต่ลึกๆ อาจจะเกิดจากการที่เราสนุกกับมัน อยากใช้เวลาช่วงชีวิตวัยรุ่นกับการเป็นผู้ใหญ่ใส่กับมันให้เต็มที่ โยนตัวเองลงไป Uncomfort Zone เยอะๆ แล้วก็เรียนรู้มันไป เพราะว่าวันหนึ่งคนเราก็ต้องแก่ ไม่มีแรง ใครอยากจะใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ได้ใช้แน่นอนในอนาคต สโลว์แน่นอน แต่ ณ ตอนนี้ เรายังมีแรง ยังมีแพสชันอยู่ ใช้มันให้เต็มที่เลย”

“คนเราไม่จำเป็นต้องมีความสุขมากๆ ทุกวันตลอดเวลา”

หลังจากแต่งเพลงของตัวเองสำเร็จ มุมมองชีวิตเราเปลี่ยนไปไหม?

“เปลี่ยน ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีอาการซึมเศร้า แต่คงเป็นเพราะช่วงกำลังโตขึ้นมันจะเป็นช่วงที่ยากหน่อยแหละ เชื่อว่าทุกคนก็เป็น เพื่อนผมก็เป็นเยอะ เด็กที่เพิ่งจบมหา’ลัย หรือเพิ่งทำงานก็ตาม เขาจะชอบบอกว่าทำไมโลกมันโหดร้ายจังเลย แต่เรารู้สึกว่าจริงๆ แล้วมันเป็นธรรมชาตินะ มันคือการที่เราได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ แล้วโดนโยนเข้าไปในบริบทที่มันเป็นสังคมจริงๆ ที่จะต้องเข้าไปทำงานในวงการที่มีคนทำงานมาก่อนนานแล้ว มันเป็นเรื่องที่ยากสำหรับทุกคน”

“คนเราไม่จำเป็นจะต้องมีความสุขมากๆ ทุกวันตลอดเวลา ถ้าวันหนึ่งอยู่ดีๆ รู้สึกไม่มีความสุขเลย มันไม่ได้แปลว่าเป็นโรคซึมเศร้า มันอาจแปลว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในที่ที่มันไม่ได้เป็น Comfort Zone อย่างเช่น อาจจะเคยอยู่แต่มหา’ลัย เลือกอยู่แต่กับเพื่อนที่รู้จัก แต่ตอนนี้ต้องออกไปเจอผู้คนใหม่ๆ เราอาจจะต้องฝึกตัวเองให้มีมนุษยสัมพันธ์ดีขึ้น หรือเข้าใจคนอื่นมากขึ้น”

“สิ่งที่เรียนรู้อีกอย่างคือ คนเราอาจจะต้องมีวินัย อดทน และค้นหาไปเรื่อยๆ บางทีการค้นหามันคือการได้เขียนคำลงในกระดาษ ถ้าหลายคนรู้สึกว่ายังอัดอั้นกับอะไรบางอย่าง การเขียนความคิดลงไปในกระดาษ บางทีมันก็ทำให้หลายๆ อย่างชัดเจนขึ้น แล้วมันก็ทำให้เราเปลี่ยนมุมมอง เข้าใจอะไรบางอย่างได้มากขึ้น”

คิดว่าเป็นเพราะอะไรเด็กรุ่นนี้เศร้าง่าย?

“น่าจะด้วยเทคโนโลยี และอะไรหลายๆ อย่างเลย มันสามารถทำให้เรา Burn Out ง่าย”

“อย่างเช่น ไปออกกอง เราอาจจะนั่งเล่นมือถือไปเรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องทำความรู้จักใครก็ได้ โลกโซเชียลมันอยู่ข้างในนี้หมดแล้ว มันเลยไม่ได้ออร์แกนิกเท่ากับรุ่นพ่อรุ่นแม่ที่แบบว่าอยากจะรู้จักใครสักคนเราต้องไปหาถึงที่บ้านเลย”

“เทคโนโลยีมันเอื้อต่อการที่จะทำให้คนๆ นึงอยู่ในโลกของตัวเองมากขึ้น และทำให้เราหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเราคนเดียว ไม่มีใครสะท้อนความคิดเราอีกทีหนึ่ง ให้เราเห็นอีกด้านหนึ่ง ทุกอย่างมันเลย เซนซิทีฟขึ้น”

เคยให้สัมภาษณ์ว่าชอบศึกษาจิตวิทยาและปรัชญา มีนักจิตวิทยาหรือนักปรัชญาที่ชื่นชอบเป็นพิเศษหรือเปล่า?

“เมื่อก่อนชอบฟังปรัชญา ‘อลัน วัตต์ส’ (Alan Watts) นักปรัชญาชาวอังกฤษ แต่เขาจะเป็นสายเซน (Zen) หน่อย ตอนนี้ก็ขยับมาเป็น ‘จอร์แดน ปีเตอร์สัน’ (Jordan Peterson) เป็นนักจิตวิทยาคลินิกชาวแคนาดา เขาจะอธิบายถึงกลไกในสมองเรา เช่น Ego, Superego, Persona แล้วก็มี Anima and animus ซึ่งงานเขามันจะโยงมาจาก ‘คาร์ล ยุง’ (Carl Jung) หรือ ‘ซิกมันด์ ฟรอยด์’ (Sigmund Freud)

แล้วปรัชญาในการใช้ชีวิตของตัวเองล่ะ?

“การเรียนรู้ด้านสว่างในชีวิต บางครั้งเราก็ต้องโยนตัวเองเข้าไปอยู่ในความมืดแป๊บนึง อย่าเพิ่งหนีมัน”

“หลายคนเจออะไรยากๆ หรือเจออะไรมืดๆ ปุ๊บ จะตีตัวออกหากเลย แต่บางทีไอ้ความมืดนี่แหละ เป็นอะไรที่เราไม่ควรไปกดมัน ควรทำความเข้าใจกับมันแล้วดึงมันขึ้น”

“เพื่อนเราเคยมาปรึกษาว่า ‘เฮ้ยมึง ทำไมช่วงนี้กูรู้สึกเป็นคนขี้อิจฉาจังวะ’ เราก็จะบอกว่า ‘สังคมมันอาจจะบอกมึงว่าความอิจฉามันเป็นเรื่องที่น่าเกลียดนะ แต่จริงๆ แล้วทุกคนมีหมด มันเป็นส่วนหนึ่งของอารมณ์ ลองมองความอิจฉาแบบเข้าใจ มันก็จะอยู่ไม่นาน โอเค เรากำลังอิจฉาอยู่ แล้วไงต่อก็พัฒนาตัวเองดิ ทำอะไรต่อไปดิ บางทีความรู้สึกพวกนี้อย่าไปกั้นมัน เพราะถ้ามันไม่ซีเรียสมากอะ เดี๋ยวมันก็ไป เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาและเป็นเรื่องธรรมชาติ”

บทเรียนชีวิตตลอด 30 ปีที่ผ่านมาของเบนจามินคืออะไร?

“คนเราจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ มันไม่สามารถจะใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยได้ ต้องเข้าใจตัวเอง และหาสิ่งที่เรารักให้เจอ เพื่อหาความหมายของการอยู่บนโลกนี้”

“อย่างช่วงตอนที่อยู่มหา’ลัยเราก็ไม่ค่อยเข้าไปเรียน อยู่บ้านชิลๆ ฟังเพลงฆ่าเวลาไปเลย ตอนนี้มันเลยรู้สึกว่าจริงๆ แล้วเวลามันสำคัญมาก”

“พอมาถึงจุดหนึ่งมันจะต้องถามตัวเองว่า เรามาอยู่ตรงนี้เพราะอะไร วันหนึ่งเดี๋ยวเราก็ต้องตายนะ โอเค เรามีเวลาเท่านี้แหละ ใช้ให้มันคุ้มสิ ซึ่งมันยากแหละ หมายถึงว่า คนเรามันขี้เกียจไง บางทีตื่นมากว่าจะลุกไปแปรงฟันก็นาน”

“หลักๆ หาความหมายของชีวิตให้เจอ พอเจอก็ลุยกับมันไปเลย ไม่ต้องคิดเยอะจนเกินไป เสียงในหัวมันเป็นอะไรที่ต้องใช้ให้พอเหมาะ อย่าไปเสพติดกับความคิดจนเกินไป”

เป้าหมายของชีวิตถัดจากนี้คืออะไร?

“เป้าหมายจริงๆ ลึกๆ เลยนะ ถ้าเอาทุกอย่างออกไป เราแค่อยากแชร์ Positive energy ให้กับคนอื่น เพราะรู้สึกว่ายิ่งอายุมากขึ้นชีวิตมันเริ่มยากสำหรับทุกคน เราไม่อยากเป็นคน Toxic แต่อยากเป็นกำลังใจให้ เพราะพอคนยิ่งโตเขายิ่งต้องการกำลังใจ”

“อีกอย่างที่รู้สึกว่ามันสำคัญมาก คือในสังคมควรปลงเรื่องนี้ได้แล้ว กับการที่คนหนึ่งคนทำอะไรบางอย่างผิดพลาดไป บางทีมันมีเส้นบางๆ เหมือนกัน ถ้าเขาไปฆ่าคน ไปข่มขืนคน โอเค อันนั้นก็อีกเรื่อง แต่บางทีเขาอาจจะแค่ทำอะไรผิดพลาดลงไปในโลกโซเชียล แล้วคนก็รุมกันยับ”

“มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาดมาก่อน การที่เราจะเรียนรู้ก็คือการทำพลาดเนี่ยแหละ ต้องเข้าใจตรงนี้ ใครทำพลาดก็อาจจะเตือนเขาแล้วก็ให้อภัยซะ เดี๋ยวนี้เราเห็นคนที่โดนรุมบนโลกโซเชียล รู้สึกว่าเขาอาจจะเป็นโรคซึมเศร้าได้เลยนะ เขาสามารถนอยได้เลย สิ่งที่เขาทำมันไม่โอเคก็จริง แต่มันก็ควรมีลิมิตกับสิ่งที่เขาควรจะเจอ”