กษัตริย์บาบิโลนต้องถูก ‘ตบ’ ฉาดใหญ่ เพื่อต้อนรับปีใหม่ และต้องน้ำตาไหลชาติถึงจะเจริญ!

2 Min
469 Views
21 Feb 2022

แม้จะถูกเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ ว่าเป็นอียิปต์ แต่อารยธรรมแรกของโลกเกิดขึ้น รวมถึงตัวอักษรที่เก่าแก่ที่สุดเกิดขึ้นที่อารยธรรมเมโสโปเตเมีย ปัจจุบันอยู่แถวๆ ประเทศอิรักและอิหร่าน ที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อราว 4,000 ปีก่อน โดยนครรัฐเริ่มต้นด้วยชาวสุเมเรียน แต่ก็เช่นเดียวกับอารยธรรมสมัยใหม่ๆ ในเวลานั้นเมโสโปเตเมียก็มีหลากหลายรัฐ และเมื่อสุเมเรียนเสื่อมอำนาจลงในเวลาต่อมาอาณาจักรสำคัญอย่างบาบิโลน (Babylon) ก็ได้เข้ามาเป็นใหญ่ในเมโสโปเตเมียอีกหลายศตวรรษ

อารยธรรมเมื่อหลายพันปีก่อนดูเป็นเรื่องลี้ลับ และคนในช่วงเวลานั้นคงเชื่อถืออะไรที่แตกต่างจากเราในปัจจุบันมาก แต่ต้องขอขอบคุณที่ชาวบาบิโลนรู้จักการบันทึกกันจริงจังพอตัว ทำให้เราเรียนรู้วัฒนธรรมและความเชื่อของพวกเขาได้มากขึ้น อย่างเช่น เรารู้ว่าชาวบาบิโลนนับถือเทพเจ้าชื่อ ‘มาร์ดุก’ (Marduk) เป็นเทพสูงสุดที่คอยควบคุมดวงดาวบนท้องฟ้า และทุกๆ วันขึ้นปีใหม่ซึ่งตรงกับวันที่ 4 ของเทศกาลอาคิตู (Akitu) กษัตริย์ของบาบิโลนจะต้องมาที่วิหารเพื่อให้ ‘บัญชาของเทพเจ้า’ ตบหน้าสักฉาด

ย้ำอีกครั้ง ‘ตบ’ จริงๆ

babylon | quoracdn

วัฒนธรรมสมัยใหม่ (ในบางพื้นที่) อาจไม่เคยชินที่ผู้มีอำนาจสูงสุดโดนลงโทษสักเท่าไร แต่อารยธรรมโบราณไม่คิดเช่นนั้น ผู้นำของพวกเขาต้องน้อมรับความเจ็บปวดจากเทพเจ้าเป็นประจำทุกปี โดยแผ่นจารึกของชาวบาบิโลนดั้งเดิมระบุชัดเจนถึงรายละเอียดพิธีกรรมการตบหน้าเฉลิมฉลองต้อนรับปีใหม่เพื่อเป็นการ ‘ชำระล้างบาป’ ที่ทำมาในปีที่แล้ว

เนื่องจากวัฒนธรรมของเมโสโปเตเมีย กษัตริย์ไม่ได้รับบทเป็นสมมุติเทพ แต่ว่าเป็นบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากเทพเจ้าให้มาปกครองไพร่ฟ้าประชาชน ส่วนคนที่ติดต่อกับเทพเจ้าคือเหล่านักบวชของราชสำนักที่เชื่อมต่อมนุษย์กับโลกเบื้องบนและเป็นผู้ ‘รับบัญชาจากเทพเจ้า’ ในการเฉลิมฉลองปีใหม่นักบวชจึงทำหน้าที่เชือดแกะสักตัวสังเวยเทพ ทำความสะอาดวิหาร และลากกษัตริย์ขึ้นมาคุกเข่า

ในพิธีกรรมนี้ กษัตริย์บาบิโลนจะต้องสารภาพความผิดที่ได้กระทำตลอดปีที่ผ่านมา ทั้งต่อศาสนา ต่อรัฐ และต่อประชาชน หลังสารภาพความผิดตามรายการของเทพเจ้าแล้ว หัวหน้านักบวชก็จะตบหน้าหนึ่งฉาด แน่นอนว่าไม่ได้ตบกันเล่นๆ พิธีกรรมตบหน้าของบาบิโลนกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องตบกันให้ ‘น้ำตาแตก’ กันไปข้าง กล่าวคือนักบวชต้องตบแบบไม่ปรานีปราศรัยจนกษัตริย์น้ำตาไหล ซึ่งจะถือว่าเป็นการยอมรับความผิดต่อเทพมาร์ดุก และท่านจะได้รับอนุญาตให้ปกครองประชาชนต่อไปอีกหนึ่งปี

สถาปัตยกรรม | ancient

เมื่อถูกตบจนน้ำตาไหลแล้ว เทพมาร์ดุกจะแสดงความยินดี อาณาจักรก็จะรุ่งเรืองมีความสุข แต่ถ้าหากกษัตริย์คนนั้นช่างอึดถึกทนจนน้ำตาไม่ยอมไหลอาบแก้ม ชาวบาบิโลนจะถือว่าเป็นลางร้ายของวันขึ้นปีใหม่เลยทีเดียว

พิธีกรรมนี้ไม่ได้งดเว้นใหญ่กษัตริย์คนไหน ตัวอย่างเช่นกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ที่ 2 (Nebuchadnezzar II) ของบาบิโลนที่ปกครองช่วง 590 ปีก่อนคริสตกาล ที่เรียกได้ว่าเป็นผู้พิชิตของยุคและเป็น ‘กษัตริย์ของกษัตริย์’ ที่บุกจนชนะเหนืออียิปต์ และทำลายกรุงเยรูซาเล็มจนราบ ก็ต้องถูกหัวหน้านักบวชปลดเครื่องประดับเกียรติยศ ไม้คทา มงกุฎ ดึงหูมาคุกเข่าหน้ารูปปั้นเทพเจ้ามาร์ดุก และถูก ‘ซักฟอก’ และ ‘ตบหน้า’ จนร้องไห้เช่นเดียวกัน

วัฒนธรรมโบราณนี้จางหายไปตามกาลเวลา ทำให้เรารู้สึกเหลือเชื่อว่ากษัตริย์หรือผู้นำสูงสุดจะต้องถูกดึงมาย่ำยีให้อับอายและตบหน้าสักฉาดอย่างแรงเป็นประจำทุกปีเพื่อเป็นการเน้นย้ำว่ากษัตริย์ก็เป็นมนุษย์ที่แม้จะได้รับสิทธิพิเศษหรือภารกิจปกครอง แต่ก็ต้องได้รับโทษภายใต้สายตาอันเข้มงวดของเทพเจ้าบ้าง แต่ถ้าหากประเพณีตบหน้าประจำปีนี้ถูกส่งต่อมาถึงปัจจุบัน เชื่อว่าคงเป็นภาพเหนือจินตนาการของเราแน่นอน

อ้างอิง