1 Min

ทำไมเราต้องพูด ‘เสียงสอง’ กับแมว หมา และเด็ก?

1 Min
1215 Views
16 Nov 2021

“อุ้ยย น่ารักจังเลยย”

“หนูอยากกินอะไรลูกกก”

ใครเคยพูดเสียงเล็กๆ เหมือนเด็กกับแมว หมา หรือสิ่งมีชีวิตแสนน่ารักกันบ้าง?

ถ้าใช่ ขอให้รู้ว่าคุณไม่ได้ทำแบบนั้นอยู่คนเดียวและนี่คือเรื่องปกติที่คนทั่วโลกทำตามสัญชาตญาณ

แต่คุณทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร?

วิทยาศาสตร์มีคำตอบ เรื่องนี้ Courtney Glashow นักจิตวิทยาและเจ้าของสถาบัน Anchor Therapy ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริการะบุว่า การพูดเสียงเล็กเสียงน้อย (Baby voice) เป็นไปตามสัญชาตญาณในการสื่อสารกับเด็กของมนุษย์ สิ่งนี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่อเราต้องการพูดกับเด็กที่ยังไม่เข้าใจภาษา เราจะใช้โทนเสียงที่สูงขึ้น พูดช้าลง ใช้คำง่ายๆ และพูดซ้ำ

เนื่องจากเราเข้าใจอยู่แล้วว่าคู่สนทนาไม่เข้าใจภาษาอย่างแน่นอน เราจึงพยายามแสดงออกทางกายภาพ เช่น โทนเสียงที่สูงขึ้นเป็นการแสดงออกไปในทางบวก ว่าเรากำลังมอบความรักให้ และไม่ได้ตั้งใจจะทำร้าย หรือข่มขู่ใดๆ

แถมการพูดด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย พูดช้าๆ พูดซ้ำๆ ยังเป็นส่วนช่วยในการเรียนรู้ภาษาของเด็กเล็กด้วย และเป็นการดึงความสนใจของเด็กเล็กได้ (แต่ในช่วงที่เด็กเริ่มเรียนรู้การพูด-การสนทนาอย่างจริงจัง การพูดเสียงสองอาจไม่เวิร์คเท่าไรนัก)

แต่เราจะพูดเสียงสองใส่หมา แมว ไปทำไม?

เช่นเดียวกับเด็ก ในเมื่อเจ้าสัตว์เลี้ยงของเรามันน่ารักซะขนาดนั้น แถมสัตว์เลี้ยงเองก็ตัวเล็กกว่าเรามากจนความเอ็นดูทำปฏิกิริยากับสัญชาตญาณ และทำให้เราเผลอเสียงสูงโดยอัตโนมัติ เพราะเราต้องการแสดงความรัก และรู้สึกว่าสัตว์ก็ต้องการการปกป้อง (ไม่โดนพูดเสียงดังหรือตะโกนใส่)

Emily Bray นักวิจัยด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัย Pennsylvania พบว่าโทนเสียงที่มนุษย์ใช้มีผลต่อปฏิกิริยาของสัตว์ โดยเฉพาะสุนัขจะรับรู้ความรู้สึกของคุณได้จากโทนเสียง และแน่นอนว่าเสียงสูงเป็นเสียงที่เป็นมิตรสำหรับมัน แถมบางครั้ง มันยังใช้เสียงสูงของตัวเองตอบสนองกลับมาเพื่อแสดงความรักด้วย เช่น การร้อง หงิงๆ ตอนอ้อนนั่นเอง

เอาเป็นว่าการเผลอพูดเสียงสองใส่สิ่งมีชีวิตน่ารักน่าชัง ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือสัตว์เกิดจากสัญชาตญาณการพยายามแสดงความรัก และเป็นมิตร ถ้าครั้งหน้าที่คุณเผลอเสียงเล็กใส่ใครหรือตัวอะไรก็ขอให้รู้ว่าสัญชาตญาณคุณกำลังเอ็นดูสิ่งนั้นแบบสุดๆ เลยล่ะ

อ้างอิง