3 Min

อนาคตยังมาไม่ถึง แต่ทำไมเราชอบกังวลล่วงหน้า

3 Min
5496 Views
06 Jan 2022

เคยเป็นกันไหม ที่ในแต่ละวันเรามักจะเอาแต่กังวลว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร อนาคตจะเป็นอย่างที่เราคิดไหม จนบางครั้งเราก็หลงลืมช่วงเวลาและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันไป

จริง ๆ แล้วความวิตกกังวลเป็นความรู้สึกปกติอย่างหนึ่งของมนุษย์ และมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในแต่ละวันเราจะมีความคิดกังวลในเรื่องต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่ในประเด็นนี้ เราอยากจะมาพูดถึงความกังวลเกี่ยวกับอนาคต ซึ่งเชื่อว่าหลาย ๆ คนก็น่าจะเคยวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เพราะหลายครั้งที่เรามักจะคาดเดาและทำนายอนาคตของตัวเองกันไปก่อนล่วงหน้าแล้ว

ความวิตกกังวลต่อเหตุการณ์ในอนาคต หรือ Anticipatory Anxiety เป็นความวิตกกังวลรูปแบบหนึ่งที่มนุษย์จะนึกกังวลและคาดเดาเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง และความวิตกกังวลต่อเหตุการณ์ในอนาคตนี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากการที่เรารู้สึกไม่มั่นคงต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในชีวิต หรือเมื่อใดก็ตามที่เราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นชิน 

แต่เมื่อใดก็ตามที่ความวิตกกังวลต่อเหตุการณ์ในอนาคตเริ่มแทรกซึมเข้ามาในความคิดของเรามากเกินไป การรับรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวของเราก็จะเปลี่ยนแปลงไปได้ง่ายขึ้น เพราะความวิตกกังวลนี้จะเริ่มครอบงำความคิดของเรา และทำให้เราคาดเดาอนาคตของตัวเองไปในทางลบมากขึ้น และแน่นอนว่าการคาดเดาอนาคตไปในทางลบ บางครั้งมันก็สามารถส่งผลให้เกิดเหตุการณ์นั้นในอนาคตจริงได้เหมือนกัน

แล้วเราจะทำอย่างไรได้บ้างเพื่อให้ตัวเองกังวลเกี่ยวกับอนาคตน้อยลง วันนี้เราจึงอยากแนะนำ 5 วิธีที่จะช่วยลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคต เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตในปัจจุบันได้อย่างมีความสุขมากขึ้น

พยายามหลีกเลี่ยงการคาดเดาอนาคตไปก่อนล่วงหน้า

ฟังดูเหมือนจะเป็นวิธีที่ง่ายแต่ก็ทำได้ยาก เพราะความคิดของเราเป็นสิ่งที่ยากจะควบคุมได้ หลายคนมักจะคิดว่าตัวเองสามารถคาดเดาอนาคตได้ เพราะหลาย ๆ ครั้งที่สิ่งที่เราคิดไว้ได้เกิดขึ้นจริง แต่ในความจริงแล้ว ไม่มีใครสามารถรู้อนาคตที่จะเกิดขึ้นได้ เราทำได้แค่เพียงคิดและคาดเดาเท่านั้น ดังนั้น การพยายามไม่นึกถึงหรือเป็นกังวลต่ออนาคตที่ยังมาไม่ถึง จึงเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เราเป็นกังวลน้อยลงได้ แต่หากว่าใครลองพยายามแล้ว และพบว่าตัวเองก็ยังคงไม่สามารถหยุดความกังวลได้ การคิดคาดเดาอนาคตให้เป็นไปในทางบวกก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยได้เช่นกัน

คิดพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในชีวิตจริง

การที่เราจะวิตกกังวลและคาดเดาอนาคตไม่ว่าจะในทางบวกหรือลบก็ตาม อย่างแรกคือเราต้องพิจารณาจากเหตุการณ์หรือสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเราในปัจจุบัน เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราสามารถคาดเดาอนาคตได้ และการคาดเดาอนาคตโดยดูจากสถานการณ์ตามความจริง ก็สามารถช่วยลดความกังวลของเราได้ด้วย

ให้เวลากับตัวเองในแต่ละวันสำหรับความคิดวิตกกังวล

อีกวิธีการหนึ่งที่จะช่วยลดความกังวลได้ก็คือ การใช้เวลาอย่างน้อยวันละ 30 นาทีในการคิดกังวล และพยายามอย่าให้ความคิดหรือความกังวลต่ออนาคตเกิดขึ้นนอกเหนือจากช่วงเวลาที่กำหนดไว้ แต่ถ้าหากความกังวลเกิดขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้เราบอกกับตัวเองไว้ว่า เรามีเวลาสำหรับการคิดกังวลไว้แล้ว เพราะฉะนั้นเราต้องแยกเวลาให้ชัดเจน

รู้สาเหตุของความคิดวิตกกังวลและแทนที่ความวิตกกังวลด้วยความคิดเชิงบวกแทน

ก่อนอื่นต้องเริ่มจากการคิดว่าอะไรคือสาเหตุของความวิตกกังวลหรือความคิดที่ทำให้เราไม่มีความสุข และหลังจากที่เรารู้สาเหตุแล้ว เราก็ต้องแทนที่ความคิดวิตกกังวลนั้นด้วยความคิดเชิงบวกแทน ตัวอย่างเช่น ในวันที่เราต้องนำเสนองาน เราอาจจะคิดกังวลว่าตัวเองจะนำเสนองานได้ไม่ดีพอและทำให้งานไม่ผ่าน แต่หากเราเปลี่ยนความคิดใหม่ว่า เราจะผ่านงานนี้แน่นอนเพราะเราหาข้อมูลมาเป็นอย่างดี ซึ่งความคิดแบบนี้ก็สามารถช่วยลดความกังวลได้เหมือนกัน

หาเวลาเพื่อให้ตัวเองได้ผ่อนคลายบ้าง

การผ่อนคลายสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การจดบันทึกเรื่องราวดี ๆ หรือการทำสมาธิ เราสามารถเลือกได้ว่าวิธีไหนที่ทำให้ตัวเองรู้สึกผ่อนคลายที่สุด ซึ่งการหาเวลาว่างเพื่อให้ตัวเองได้ผ่อนคลายก็สามารถช่วยลดความกังวลได้เช่นเดียวกัน

ความวิตกกังวลต่อเหตุการณ์ในอนาคตเป็นความรู้สึกปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน คนส่วนมากมักจะวิตกกังวลและคาดเดาอนาคตไปก่อนล่วงหน้า เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าอนาคตเราจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ดังนั้นการคิดคาดเดาอนาคตจึงเป็นความคิดที่อาจจะวนเวียนอยู่ในหัวของใครหลาย ๆ คนอยู่บ่อยครั้ง แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่เราควรจะโฟกัสก็คือการอยู่กับปัจจุบัน ใช้ชีวิตแต่ละวันในปัจจุบันของเราให้ดีที่สุดโดยไม่ต้องนึกกังวลไปถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เพราะสุดท้ายแล้วปัจจุบันก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะกำหนดอนาคตของเราได้

อ้างอิง