2 Min

ฉลองครบรอบ 15 ปี PMT The Hour Glass ผู้นำเข้าแบรนด์นาฬิการะดับชั้นนำอันดับหนึ่งในไทยที่ขับเคลื่อนด้วย ‘ความหลงใหลในเรือนเวลา’

2 Min
638 Views
01 Jul 2023

ช่วงทศวรรษที่ผ่านมานี้ ‘นาฬิกา’ ได้กลายมาเป็น ‘Must Have Item’ หรือ ‘เครื่องประดับที่ขาดไม่ได้’ ทั้งในหมู่วัยรุ่นและวัยทำงาน หลายคนเลือกสวมใส่นาฬิกาไม่เพียงเพราะมันทำหน้าที่บอกเวลา แต่ยังใช้บ่งบอก ‘รสนิยมของผู้ใส่’ อีกทั้งช่วย ‘เสริมบุคลิกภาพ’ ให้ดูมีภูมิฐาน เพราะนาฬิกาไม่ได้เป็นเพียงเครื่องประดับอีกต่อไป เพราะคนส่วนมากยังหันมา ‘ลงทุน’ กับนาฬิกาหายากบางรุ่นหรือ ‘สะสม’ นาฬิกาเป็นงานอดิเรกด้วยเช่นกัน

เช่นเดียวกับสองนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ผู้ซึ่งมีความหลงใหลในเรือนเวลา การผลิตนาฬิกา และอุตสาหกรรมนาฬิกา อย่าง ณรัณ ธรรมาวรานุคุปต์ และ ไมเคิล เทย์ ที่ได้ร่วมมือกันก่อตั้งธุรกิจนำเข้าและจัดจำหน่ายแบรนด์นาฬิการะดับชั้นนำ ที่มีชื่อว่า ‘PMT The Hour Glass’ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2551 โดยหวังที่จะเผยแพร่วัฒนธรรมนาฬิกาและส่งมอบประสบการณ์นาฬิกาแบบร่วมสมัยที่ดีที่สุดให้กับนักสะสมและเหล่าคนรักนาฬิกาในประเทศไทย 

ด้วยความหลงใหลนี้ จึงทำให้บริษัทมีความเป็นเลิศด้านการดำเนินงานเชิงธุรกิจและบริการ พร้อมทั้งได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์พันธมิตรหลักอย่าง Patek Philippe, Rolex, Hublot, และ Tudor รวมไปถึงแบรนด์นาฬิกาช่างฝีมือ (Artisanal brand) อย่าง MB&F, URWERK, และ De Bethune มาเป็นระยะเวลากว่า 15 ปี 

และเมื่อวันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา PMT The Hour Glass ได้มีการจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 15 ปีแห่งความร่วมมือทางธุรกิจ ณ โรงแรม Waldorf Astoria พร้อมจัดแสดงนิทรรศการรวบรวมความสำเร็จของบริษัทตั้งแต่ปี 2551 และที่พิเศษคือได้มีการเปิดตัวนาฬิการุ่นลิมิเต็ดอิดิชัน ร่วมกับแบรนด์พันธมิตรภายในงาน ไม่ว่าจะเป็น Hublot, Girard-Perregaux, Ulysse Nardin, MB&F และ URWERK ซึ่งจะถูกวางจำหน่ายที่บูติกของ PMT The Hour Glass ในประเทศไทย 

ปัจจุบันบริษัทยังคงมุ่งพัฒนาในตลาดนาฬิการะดับไฮเอนด์มาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อปีที่ผ่านมาได้มีการนำเข้านาฬิกาชั้นนำระดับโลกทั้งหลาย รวมมูลค่ากว่า 12,955 ล้านบาท และด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ จึงทำให้กิจการมีรายได้ที่เติบโตขึ้นถึง 12 เท่า ส่งผลให้รายได้รวมประจำปีที่ผ่านมามีจำนวนสูงถึง 6,000 ล้านบาท 

ตัวชี้วัดความสำเร็จที่สามารถเห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คงจะเป็น ‘จำนวนบูติกสโตร์’ ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากเพียงแค่ 2 แห่ง ไปเป็น 15 แห่ง ทั้งในกรุงเทพมหานครและภูเก็ต ไปจนถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามในฮานอยและโฮจิมินห์ อีกทั้งทางบริษัทยังมีแผนในการขยายบูติกไปจนถึง 20 แห่งภายในสิ้นปีนี้ 

ถึงแม้ตลาดจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆ แต่ทางบริษัทก็ไม่เคยนิ่งนอนใจ โดยในปัจจุบันกลุ่มผู้ซื้อนาฬิกาจะมีช่วงอายุอยู่ที่ 25-35 ปี จึงได้มีการคิดหากลยุทธ์ในการปรับปรุงและพัฒนาประสบการณ์การซื้อนาฬิกาของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น พร้อมเปิดตัวระบบ Customer Experience Management (CEM) ที่จะทำให้บริษัทเข้าใจลูกค้าแต่ละคนมากยิ่งขึ้น และสามารถออกแบบประสบการณ์เฉพาะบุคคลให้กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

การที่บริษัทเดินทางมาถึงจุดนี้ได้ ส่วนหนึ่งนั้นก็คงเป็นเพราะความหลงใหลที่ไม่เคยหมดลงของเหล่าผู้รักนาฬิกาในประเทศไทย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าวิธีการดำเนินการของบริษัทที่ใส่ใจในการบริการและไม่เคยหยุดสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อลูกค้า พร้อมทั้งความตั้งใจให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่หาจากที่ไหนไม่ได้ ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งมาจนถึงทุกวันนี้