3 Min

ถอดบทเรียนจาก ‘All Quiet on the Western Front’ เมื่อวาทกรรม ‘เพื่อชาติ’ กลายเป็นสุสานของคนหนุ่ม

3 Min
13 Views
01 Aug 2025

ในยามที่สังคมถูกปลุกเร้าด้วยวาทกรรมความรักชาติ จากเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างชายแดนไทย-กัมพูชา จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้หากอารมณ์ของผู้คนจะพัดพากันไปตามกระแสต่างๆ นานาตามสถานการณ์ ความรักในบ้านเกิดเมืองนอนไม่ใช่เรื่องผิดและเป็นเรื่องที่เราควรยกย่องด้วยซ้ำ แต่ในภาวะเปราะบางเช่นนี้ หลายครั้งเรามักปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลและความถูกต้อง จนหลงลืมไปว่าปลายทางของ ‘สงคราม’ นั้นแท้จริงคือความสูญเสีย

ภาพยนตร์เรื่อง ‘All Quiet on the Western Front’ (2022) คือหนึ่งในผลงานที่ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งความสูญเสียของสงคราม ผ่านมุมมองของคนหนุ่มสาวผู้รักชาติที่ถูกปลุกปั่นโดยผู้นำที่ใช้อุดมการณ์ชาตินิยมเป็นเครื่องมือ ทำให้พวกเขาเชื่อมั่นว่าสงครามคือเวทีของวีรบุรุษและความกล้าหาญ จนกระทั่งได้ค้นพบด้วยตนเองว่าความจริงนั้นโหดร้ายกว่าที่จินตนาการไว้ และจบลงด้วยการทิ้งชีวิตไว้ ณ ด่านหน้าของสมรภูมิรบ

ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงจากวรรณกรรมสุดคลาสสิกของ เอริช มาเรีย เรอมาร์ก (Erich Maria Remarque) นักเขียนชาวเยอรมัน ซึ่งเคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์และคว้ารางวัลออสการ์มาแล้วในปี 1930 และในเวอร์ชันปี 2022 ของผู้กำกับ เอ็ดเวิร์ด เบอร์เกอร์ (Edward Berger) ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์ซ้ำรอยด้วยการกวาดรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยมไปครองอีกครั้ง

ภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่ 1 นำเสนอแง่มุมน่าสนใจเกี่ยวกับแนวคิดชาตินิยมที่ถูกปลูกฝังในจักรวรรดิเยอรมันมาอย่างยาวนาน เมื่อ พอล บอยเมอร์ (Paul Bäumer) ตัวเอกของเรื่องเป็นหนุ่มเยอรมันวัย 17 ปี หลังจากที่เขาได้ฟังผู้นำประเทศกล่าวสุนทรพจน์ปลุกใจก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะสมัครเข้าร่วมกองทัพในปี 1917 ด้วยความเชื่อมั่นว่าจะได้สร้างเกียรติยศและกลับบ้านในฐานะวีรบุรุษ แต่ภาพฝันอันสวยหรูก็พังทลายลงในทันทีที่พวกเขาถูกส่งไปยังแนวรบด้านตะวันตกในฝรั่งเศส

เราจะเห็นแววตาความตื่นเต้นของบรรดาเด็กหนุ่มรุ่นราว 15-17 ปี ที่กำลังต่อแถววัดตัว รอรับเครื่องแบบและอาวุธด้วยความภาคภูมิใจว่าจะได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติ แต่หารู้ไม่ว่าเครื่องแบบเหล่านั้นไม่ใช่เครื่องแบบสั่งตัดใหม่ หากแต่เป็นชุดที่เคยได้เปื้อนเลอะเปรอะโคลน ซับหยาดเหงื่อและคราบเลือดของศพทหารรุ่นก่อนหน้า ก่อนจะถูกส่งต่อให้ ‘วีรบุรุษ’ รุ่นต่อไปใส่ไปตายในสนามรบ

ทันทีที่มุ่งหน้าสู่แนวรบด้านตะวันตก (Western Front) ภาพฝันทั้งหมดก็พังทลาย จากเด็กหนุ่มผู้มีแววตาสดใส พวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริงอันน่าสะพรึงของสงครามสนามเพลาะ ที่ซึ่งความตายอยู่ใกล้แค่คืบ ดิน โคลน เลือด และซากศพ กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เสียงนกหวีดโจมตี เสียงปืนกล และเสียงระเบิดที่ดังสนั่น คือเพลงกล่อมที่พวกเขาต้องฟังทุกคืนวัน 

ภาพยนตร์ได้ติดตามการเดินทางของพอลที่ค่อยๆ สูญเสียความเป็นมนุษย์และเพื่อนพ้องไปทีละคน จนเหลือเพียงสัญชาตญาณการเอาตัวรอดในสมรภูมิที่ไร้ซึ่งความปรานี แม้เขาจะเข้าร่วมสงครามมาสักระยะแล้ว แต่เราจะเห็นความสับสน ไร้เดียงสาของเขาในฉากที่เขาได้สัมผัสกับการฆ่าคนจริงๆ ด้วยการจับมีดเข้าแทงทหารฝรั่งเศสและได้เห็นการตายของศัตรูแบบซึ่งๆ หน้า นั่นคือจุดที่ทำให้เขารู้สึกตัวทันทีว่าการฆ่าคนไม่ใช่เรื่องปกติที่มนุษย์พึงกระทำ

นอกจากหนังจะสะท้อนให้เห็นถึงความโหดร้ายและการสูญเสียของสงครามแล้ว ยังเสียดสีภาพความแตกต่างของสองบทบาทระหว่างทหารแนวหน้ากับนายพลยศใหญ่ของพวกเขา ที่เป็นคนพร่ำบอกให้ออกไปรบเพื่อชาติ แต่ตัวเองนั่งสั่งการจากหอคอยงาช้าง นั่งจิบไวน์หรูหรา และยืนกรานที่จะไม่ให้สงครามสิ้นสุด เพื่อแสดงเกียรติยศของเยอรมนี 

แม้ในท้ายที่สุดจะมีการตกลงทำสัญญาสงบศึก แต่กว่าจะยุติการยิงอย่างเป็นทางการก็กินเวลาไปหลายชั่วโมง ในสัญญายุติสงครามบันทึกว่าให้สงครามจะจบลงในเช้าวันที่ 11 เวลา 11 นาฬิกา ทว่า 6 ชั่วโมงก่อนหน้าสัญญาสงบศึกจะเป็นผล นายพลกลับเรียกเหล่าทหารมารวมตัวกันเพื่อบอกให้พวกเขากลับเข้าสู่สนามรบเพื่อโจมตีอย่างสุดกำลังเป็นครั้งสุดท้าย และเอาชัยชนะในเขตแดนลาตีแยร์มาให้จงได้

สีหน้าและแววตาของพอลในมุมกล้องระยะใกล้บ่งบอกได้ความรู้สึกของเขาและทหารทุกนายได้เป็นอย่างดี ประกายความหวังที่เพิ่งจุดติดได้ถูกนายพลดับลงอย่างเลือดเย็น ทุกคนรู้ดีว่าการกลับเข้าไปในสนามรบนั้น ไม่ต่างอะไรจากการเดินไปสู่ความตาย และก็เป็นไปตามคาด ในการรบครั้งสุดท้ายนี้เองที่พอลต้องจบชีวิตลงในฐานะวีรบุรุษ ก่อนที่เสียงแตรแห่งสันติภาพจะดังขึ้นเพียงไม่กี่อึดใจ

ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะยุติลงในเดือนพฤศจิกายน 1918 แนวรบด้านตะวันตกที่กลายเป็นสมรภูมิสนามเพลาะแทบไม่ได้รุกคืบไปไหนเลย แม้จะสู้รบกันมายาวนานกว่า 4 ปี มีทหารต้องสังเวยชีวิต ณ ที่แห่งนี้ไปอย่างน้อยสามล้านนาย และบ่อยครั้งที่การสละชีวิตของพวกเขานั้น ก็เพื่อช่วงชิงพื้นที่ไปข้างหน้าเพียงไม่กี่ร้อยเมตร

All Queit on the Western Front อาจมีการตีความใหม่จากเดิมไปบ้าง แต่ก็ยังรักษาไว้ซึ่งแก่นของการเสียดสีความเลวร้ายของสงครามว่าเป็นโศกนาฏกรรมทางมนุษยธรรม และเผยให้เห็นมุมมืดอีกด้านของชาตินิยมอย่างสุดโต่ง ที่บังคับให้เราต้องเผชิญหน้ากับราคาที่ต้องจ่ายของ ‘สงคราม’ ซึ่งไม่ได้จ่ายโดยนายพลหรือนักการเมือง แต่จ่ายด้วยเลือดเนื้อและอนาคตของเหล่าหนุ่มสาวที่ถูกพรากไปในสมรภูมิที่เต็มไปด้วยโคลนและความป่าเถื่อน

ในโลกที่ความขัดแย้งยังคงปะทุขึ้นในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในขณะนี้ที่เกิดขึ้นในประเทศของเราเอง ‘All Quiet on the Western Front’ ได้ทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจอันทรงพลังว่า ในสงคราม ไม่เคยมีผู้ชนะอย่างแท้จริง มีเพียงผู้รอดชีวิตที่ต้องแบกรับบาดแผลไปตลอดกาล