รู้จักวัฒนธรรม ‘ทำลายอวัยวะเพศหญิง’ ที่แพร่หลายในแอฟริกา …และมีข่าวว่าจริงๆ ก็มีในไทยด้วย
ถ้าพูดถึงสังคมที่ ‘กดขี่ผู้หญิงที่สุดในโลก’ ก็อาจจะหนีไม่พ้นสังคมจากทวีปแอฟริกา ซึ่งเอาจริงๆ เราก็คงจะพูดถึงการกดขี่ผู้หญิงได้หลายมิติมากๆ แต่ตรงนี้เราอยากจะเล่าเรื่องที่แม้แต่พวก YouTuber ที่เป็น ‘นักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม’ ก็คงยากที่จะเอามาเล่าได้ และมันก็คือเรื่องของวัฒนธรรม ‘ทำลายอวัยวะเพศหญิง’
อะไรคือ ‘การทำลายอวัยวะเพศหญิง’ ที่ว่า? ในภาษาอังกฤษมันคือคำว่า Female genital mutilation (FGM) ซึ่งสมัยก่อนเขาจะใช้คำว่า Female circumcision ที่แปลเป็นไทยได้ว่า การขริบอวัยวะเพศหญิง แต่ช่วงหลังองค์กรระว่างประเทศต่างๆ เลิกใช้คำนี้และใช้คำว่า ‘การทำลายอวัยวะเพศหญิง’ แทน เพราะกระบวนการมันต่างจากการขริบอวัยวะเพศชายชนิดที่ไม่ควรจะเอามาเทียบกันให้ฟังดูเป็นเรื่องระดับเดียวกันได้
แล้ว ‘การทำลายอวัยวะเพศหญิง’ มันคือกระบวนการยังไง?
รายละเอียดมันต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ แต่หลักๆ ก็คือการนำเด็กผู้หญิงที่กำลังเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์มาตัด ‘ส่วนนอก’ ของอวัยวะเพศออก โดยเครื่องมือที่ใช้มีแค่มีดโกนหรือมีดที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อใดๆ และแน่นอน ไม่มียาชาอะไรทั้งนั้น โดยบางครั้งก็จะทำทีละเป็นสิบๆ คนโดยไม่ล้างมีดด้วย
เราคงจะไม่เล่ากระบวนการเต็มๆ เพราะฟังดูสยดสยองเกินไป แต่กระบวนการนี้แบ่งเป็น 3 แบบใหญ่ๆ คือ 1. ตัดคลิตอริสออก 2. ตัดคลิตอริสและแคมบางส่วนหรือทั้งหมดออก 3. ตัดคลิตอริสและแคมบางส่วนหรือทั้งหมด พร้อมเย็บปิดอวัยวะเพศให้เหลือแค่รูฉี่และรูประจำเดือน
หลายคนอาจสงสัยแบบสุดท้ายทันทีว่าแล้วผู้หญิงจะร่วมเพศยังไง? คำตอบคือ ก็เพราะเขาไม่ให้ร่วมเพศก็เลยเย็บปิด อวัยวะเพศจะถูกเปิดตอนแต่งงานโดยสามีจะเป็นคนฉีกออก หรือไม่ก็ต้องให้พวกหมอตำแยเอามีดผ่าออก และผู้หญิงก็จะได้มีอวัยวะเพศเปิดๆ นั้นจนมีลูกเพียงพอ และก็จะถูกเย็บปิดอีกครั้ง
แล้วประเทศแถบไหนที่ผู้หญิงต้องผ่านกระบวนการ ‘ทำลายอวัยวะเพศหญิง’ ตอบเร็วๆ โซนที่มีการทำเยอะสุดๆ คือแอฟริกาตะวันตกและแอฟริกาตะวันออก ทั้งยังพบเห็นในหลายประเทศแถบตะวันออกกลางและที่อินโดนีเซีย แต่คนที่ทำแบบนี้ในประเทศกลุ่มหลังถือเป็นแค่ส่วนน้อย ต่างจากหลายประเทศในแอฟริกาที่ผู้หญิงไม่ต่ำกว่า 3 ใน 4 ยอมรับว่าเคยผ่านกระบวนการนี้มาก่อน ได้แก่ มาลี กินี อียิปต์ ซูดาน เอธิโอเปีย และโซมาเลีย โดยแต่ละโซนก็จะใช้รูปแบบ ‘ทำลาย’ ต่างๆ กัน แบบอียิปต์จะเป็นการตัดคลิตอริสเท่านั้น แต่พอลงมาแอฟริกาตะวันออกอย่างซูดาน เอธิโอเปีย และโซมาเลีย แทบจะครึ่งหนึ่งของผู้หญิงนั้นถูก ‘เย็บปิดอวัยวะเพศหญิง’ และนี่ก็คือผลสำรวจไม่นานจากปี 2015 ไม่ใช่ผลโบราณจากครึ่งศตวรรษอะไรเลย ดังนั้นมันคือเรื่องของปัจจุบัน
ทำไมถึงมีเรื่องแบบนี้? มีคนมองว่าเป็นความเชื่อทางศาสนาหรือวัฒนธรรมหรือเปล่า เพราะโซนที่มีประเพณีพวกนี้คือโซนประเทศมุสลิมแทบทั้งหมด แอฟริกากลางและใต้ที่ส่วนใหญ่เป็นคนคริสต์จะไม่มีพีธีกรรมแบบนี้ เพราะมันถูกต่อต้านมาตั้งแต่ตอนพวกมิชชันนารีมาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ช่วงอาณานิคมแล้ว
อย่างไรก็ดี จะบอกว่านี่เป็นพิธีกรรมของมุสลิมก็ไม่ใช่ เพราะแอฟริกาเหนือส่วนใหญ่ที่เป็นมุสลิมก็ไม่มีพิธีกรรมแบบนี้ และในตะวันออกกลางก็เคยพบวัฒนธรรมนี้ในชนเผ่าเบดูอินสมัยโบราณ ซึ่งถ้าย้อนไป นักโบราณคดีจะบอกว่าจริงๆ มันเป็นพิธีกรรมเก่าแก่ในแถบนี้ก่อนจะรับเอาศาสนาอิสลามเข้ามา และทุกวันนี้มันก็ถูกอ้างว่าเป็นบัญญัติของอิสลาม (ทั้งที่จริงๆ ไม่มี)
ก็ไม่แปลกที่ชาวโลกจะส่ายหน้ากับพิธีกรรมแบบนี้ และชาติตะวันตกทั้งแถบก็ออกกฎหมายห้ามไปเรียบร้อยหลังจากมี ‘ผู้อพยพ’ จากแอฟริกาเข้าไปแล้วยังคง ‘ทำลายอวัยวะเพศ’ ลูกหลานตัวเองอยู่
แต่ถามว่าทำไมคนถึงทำพิธีกรรมอันป่าเถื่อนที่โลกไม่โอเคเช่นนี้ คำตอบมันเริ่มซับซ้อน
คือเขาอ้างว่า มันเป็นพิธีกรรมเปลี่ยนผ่าน หรือทำเพื่อความสะอาดในเชิงวัฒนธรรมอะไรก็ว่าไป และเขาก็จะอ้างว่ามันไม่ต่างจากการขริบอวัยวะเพศชายซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ถูกแบนทั่วไป
นี่ก็เลยเป็นเหตุผลที่เขายกเลิกการเรียกกระบวนการนี้ว่า ‘การขริบอวัยวะเพศหญิง’ แต่ไปเรียกว่าการ ‘ทำลายอวัยวะเพศหญิง’ แทน เพราะนี่ไม่ใช่แค่การตัดหนังหุ้มปลาย แต่มันคือการตัดคลิตอริส ตัดแคมนอกแคมใน ยันเย็บปิดอวัยวะเพศหญิง ซึ่งอะไรพวกนี้ ถ้าว่ากันในทางการแพทย์ มันก็ไม่สามารถพูดถึง ‘ผลประโยชน์ด้านความสะอาด’ แบบเดียวกับการขริบอวัยวะเพศชายแน่ๆ และอันที่จริงคือมันเป็นอันตรายต่อผู้หญิงแบบที่ลิสต์ได้ยาวยืดมากๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเบสิคอย่างการติดเชื้อ หรือเรื่องที่ส่งผลในระยาวอย่างการทำให้คลอดลูกยาก และทำให้ประเทศที่มีการ ‘ทำลายอวัยวะเพศหญิง’ ต้องเสียเงินไปปีละมหาศาลเพื่อรักษาพวกเธอ
แต่ถามว่ามันเป็นอันตรายต่อผู้หญิงขนาดนี้ยังมีคนสนับสนุนหรือ? แน่นอน ไปถามประเทศที่ผู้หญิง 3 ใน 4 ผ่านกระบวนการนี้มา เขาก็มองว่าไม่เป็นอะไร และก็ควรจะมีวัฒนธรรมนี้ต่อไป พวกผู้ชายส่วนใหญ่สนับสนุนอยู่แล้ว แต่ที่โหดคือ เขาไปสำรวจจริงๆ ก็พบว่าผู้หญิงเอง 40-50 เปอร์เซ็นต์ก็ไม่ได้มีปัญหากับประเพณีนี้
และเอาจริงๆ ในประเทศที่ใครๆ ก็ถูก ‘ทำลายอวัยวะเพศ’ บ้านไหนที่ลูกสาวไม่ได้ผ่านการกระทำแบบนี้ ก็จะโดนบทลงโทษทางสังคมสารพัด และบางทีคนที่จะแอบเอาเด็กผู้หญิงไป ‘ทำลายอวัยวะเพศ’ ก็คือย่าๆ ของพวกเธอนั่นเอง โดยบางทีพ่อเด็กที่มีการศึกษาหน่อยเริ่มไม่อยากให้ทำ แต่พวกย่าๆ นี่แหละจะแอบพาตัวหลานไป ‘ทำลายอวัยวะเพศ’ เพื่อให้ร่างกายของหลานได้มาตรฐานของสังคมและไม่ถูกครหาในชุมชน
และที่เพี้ยนกว่านั้น ในทางตะวันตกเอง พวกนักมานุษยวิทยาหลายๆ คนก็มองว่าการที่คนตะวันตกไปแบนการ ‘ทำลายอวัยวะเพศหญิง’ มันก็คือการคิดแบบคนขาวเป็นใหญ่ เพราะคนแอฟริกันเขาก็อยู่กันได้ และก็อย่าได้ไปท้าว่าใครเห็นด้วยก็ไปทำเองสิ เพราะนักมานุษยวิทยาหญิงสัญชาติเซียราลีโอนอย่าง ฟูอัมบาอี อาห์มาดู (Fuambai Ahmadu) นั้นก็ได้เข้าพิธี ‘ทำลายอวัยวะเพศ’ ตอนที่โตเป็นนักวิชาการแล้ว เพื่อยืนยันว่ามัน ‘ไม่เป็นอะไร’ แบบที่คนพยายามจะว่ากัน และแถมยังวิจารณ์อีกว่าคนที่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่คือพวกที่ลดทอนความเป็นผู้หญิงให้เหลือแต่เพียงคลิตอริส
แต่ไม่ว่ายังไง ในมาตรฐานปัจจุบัน ปัญหาจริงๆ มันอาจไม่ใช่การ ‘ทำลายอวัยวะเพศหญิง’ เท่ากับผู้ที่ถูกเอาไปทำแบบนี้คือเด็กผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้และทางขัดขืนมากกว่า ซึ่งนี่ก็ทำให้คนไม่น้อยเทียบการ ‘ทำลายอวัยวะเพศหญิง’ ว่ามันไม่ได้ต่างจากการร่วมเพศกับเด็ก ที่ยังไงก็เป็นการ ‘ข่มขืน’ จะอ้างความสมยอมยังไงก็ไม่ได้ เพราะโดยทั่วไป ภายใต้ความสัมพันธ์ทางอำนาจ เด็กนั้นไม่มีอำนาจในการจะ ‘ปฏิเสธ’ ได้เลย
สุดท้าย เผื่อบางท่านอาจจะไม่รู้ มันเคยมีข่าวมาเหมือนกันว่า ทางใต้ของประเทศไทยเองก็มีการ ‘ทำลายอวัยวะเพศหญิง‘ เหมือนกัน แต่เรื่องก็เงียบไปและคนไทยส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ว่า ‘พิธีกรรมป่าเถื่อน‘ นี้ จริงๆ แล้วมันมีกระทั่งแถวบ้านเรา แค่ไม่ได้แพร่หลายเท่าในแอฟริกา
อ้างอิง
- Equality Now. FGM In The Middle East. https://bit.ly/3vd3LaY
- WHO. Female genital mutilation. https://bit.ly/2LAwb6t
- CGRS. Female Genital Cutting. https://bit.ly/3J3aJFb
- Pulitzer. A ritual that cuts the very heart of womanhood. https://bit.ly/3zwVbGh
- Wikipedia. Female genital mutilation. https://bit.ly/3oBj3Cl
- The Guardian. In Thailand’s Muslim south, authorities turn a blind eye to FGM. https://bit.ly/3oyVFpq