4 Min

รู้จักวัฒนธรรม ‘ทำลายอวัยวะเพศหญิง’ ที่แพร่หลายในแอฟริกา …และมีข่าวว่าจริงๆ ก็มีในไทยด้วย

4 Min
915 Views
29 Jul 2022

ถ้าพูดถึงสังคมที่กดขี่ผู้หญิงที่สุดในโลกก็อาจจะหนีไม่พ้นสังคมจากทวีปแอฟริกา ซึ่งเอาจริงๆ เราก็คงจะพูดถึงการกดขี่ผู้หญิงได้หลายมิติมากๆ แต่ตรงนี้เราอยากจะเล่าเรื่องที่แม้แต่พวก YouTuber ที่เป็นนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมก็คงยากที่จะเอามาเล่าได้ และมันก็คือเรื่องของวัฒนธรรมทำลายอวัยวะเพศหญิง

อะไรคือการทำลายอวัยวะเพศหญิงที่ว่า? ในภาษาอังกฤษมันคือคำว่า Female genital mutilation (FGM) ซึ่งสมัยก่อนเขาจะใช้คำว่า Female circumcision ที่แปลเป็นไทยได้ว่า การขริบอวัยวะเพศหญิง แต่ช่วงหลังองค์กรระว่างประเทศต่างๆ เลิกใช้คำนี้และใช้คำว่าการทำลายอวัยวะเพศหญิงแทน เพราะกระบวนการมันต่างจากการขริบอวัยวะเพศชายชนิดที่ไม่ควรจะเอามาเทียบกันให้ฟังดูเป็นเรื่องระดับเดียวกันได้

แล้วการทำลายอวัยวะเพศหญิงมันคือกระบวนการยังไง?

รายละเอียดมันต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ แต่หลักๆ ก็คือการนำเด็กผู้หญิงที่กำลังเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์มาตัดส่วนนอกของอวัยวะเพศออก โดยเครื่องมือที่ใช้มีแค่มีดโกนหรือมีดที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อใดๆ และแน่นอน ไม่มียาชาอะไรทั้งนั้น โดยบางครั้งก็จะทำทีละเป็นสิบๆ คนโดยไม่ล้างมีดด้วย

เราคงจะไม่เล่ากระบวนการเต็มๆ เพราะฟังดูสยดสยองเกินไป แต่กระบวนการนี้แบ่งเป็น 3 แบบใหญ่ๆ คือ 1. ตัดคลิตอริสออก 2. ตัดคลิตอริสและแคมบางส่วนหรือทั้งหมดออก 3. ตัดคลิตอริสและแคมบางส่วนหรือทั้งหมด พร้อมเย็บปิดอวัยวะเพศให้เหลือแค่รูฉี่และรูประจำเดือน

หลายคนอาจสงสัยแบบสุดท้ายทันทีว่าแล้วผู้หญิงจะร่วมเพศยังไง? คำตอบคือ ก็เพราะเขาไม่ให้ร่วมเพศก็เลยเย็บปิด อวัยวะเพศจะถูกเปิดตอนแต่งงานโดยสามีจะเป็นคนฉีกออก หรือไม่ก็ต้องให้พวกหมอตำแยเอามีดผ่าออก และผู้หญิงก็จะได้มีอวัยวะเพศเปิดๆ นั้นจนมีลูกเพียงพอ และก็จะถูกเย็บปิดอีกครั้ง

แล้วประเทศแถบไหนที่ผู้หญิงต้องผ่านกระบวนการทำลายอวัยวะเพศหญิงตอบเร็วๆ โซนที่มีการทำเยอะสุดๆ คือแอฟริกาตะวันตกและแอฟริกาตะวันออก ทั้งยังพบเห็นในหลายประเทศแถบตะวันออกกลางและที่อินโดนีเซีย แต่คนที่ทำแบบนี้ในประเทศกลุ่มหลังถือเป็นแค่ส่วนน้อย ต่างจากหลายประเทศในแอฟริกาที่ผู้หญิงไม่ต่ำกว่า 3 ใน 4 ยอมรับว่าเคยผ่านกระบวนการนี้มาก่อน ได้แก่ มาลี กินี อียิปต์ ซูดาน เอธิโอเปีย และโซมาเลีย โดยแต่ละโซนก็จะใช้รูปแบบทำลายต่างๆ กัน แบบอียิปต์จะเป็นการตัดคลิตอริสเท่านั้น แต่พอลงมาแอฟริกาตะวันออกอย่างซูดาน เอธิโอเปีย และโซมาเลีย แทบจะครึ่งหนึ่งของผู้หญิงนั้นถูกเย็บปิดอวัยวะเพศหญิงและนี่ก็คือผลสำรวจไม่นานจากปี 2015 ไม่ใช่ผลโบราณจากครึ่งศตวรรษอะไรเลย ดังนั้นมันคือเรื่องของปัจจุบัน

ทำไมถึงมีเรื่องแบบนี้? มีคนมองว่าเป็นความเชื่อทางศาสนาหรือวัฒนธรรมหรือเปล่า เพราะโซนที่มีประเพณีพวกนี้คือโซนประเทศมุสลิมแทบทั้งหมด แอฟริกากลางและใต้ที่ส่วนใหญ่เป็นคนคริสต์จะไม่มีพีธีกรรมแบบนี้ เพราะมันถูกต่อต้านมาตั้งแต่ตอนพวกมิชชันนารีมาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ช่วงอาณานิคมแล้ว

อย่างไรก็ดี จะบอกว่านี่เป็นพิธีกรรมของมุสลิมก็ไม่ใช่ เพราะแอฟริกาเหนือส่วนใหญ่ที่เป็นมุสลิมก็ไม่มีพิธีกรรมแบบนี้ และในตะวันออกกลางก็เคยพบวัฒนธรรมนี้ในชนเผ่าเบดูอินสมัยโบราณ ซึ่งถ้าย้อนไป นักโบราณคดีจะบอกว่าจริงๆ มันเป็นพิธีกรรมเก่าแก่ในแถบนี้ก่อนจะรับเอาศาสนาอิสลามเข้ามา และทุกวันนี้มันก็ถูกอ้างว่าเป็นบัญญัติของอิสลาม (ทั้งที่จริงๆ ไม่มี)

ก็ไม่แปลกที่ชาวโลกจะส่ายหน้ากับพิธีกรรมแบบนี้ และชาติตะวันตกทั้งแถบก็ออกกฎหมายห้ามไปเรียบร้อยหลังจากมีผู้อพยพจากแอฟริกาเข้าไปแล้วยังคงทำลายอวัยวะเพศลูกหลานตัวเองอยู่

แต่ถามว่าทำไมคนถึงทำพิธีกรรมอันป่าเถื่อนที่โลกไม่โอเคเช่นนี้ คำตอบมันเริ่มซับซ้อน

คือเขาอ้างว่า มันเป็นพิธีกรรมเปลี่ยนผ่าน หรือทำเพื่อความสะอาดในเชิงวัฒนธรรมอะไรก็ว่าไป และเขาก็จะอ้างว่ามันไม่ต่างจากการขริบอวัยวะเพศชายซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ถูกแบนทั่วไป

นี่ก็เลยเป็นเหตุผลที่เขายกเลิกการเรียกกระบวนการนี้ว่าการขริบอวัยวะเพศหญิงแต่ไปเรียกว่าการทำลายอวัยวะเพศหญิงแทน เพราะนี่ไม่ใช่แค่การตัดหนังหุ้มปลาย แต่มันคือการตัดคลิตอริส ตัดแคมนอกแคมใน ยันเย็บปิดอวัยวะเพศหญิง ซึ่งอะไรพวกนี้ ถ้าว่ากันในทางการแพทย์ มันก็ไม่สามารถพูดถึงผลประโยชน์ด้านความสะอาดแบบเดียวกับการขริบอวัยวะเพศชายแน่ๆ และอันที่จริงคือมันเป็นอันตรายต่อผู้หญิงแบบที่ลิสต์ได้ยาวยืดมากๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเบสิคอย่างการติดเชื้อ หรือเรื่องที่ส่งผลในระยาวอย่างการทำให้คลอดลูกยาก และทำให้ประเทศที่มีการทำลายอวัยวะเพศหญิงต้องเสียเงินไปปีละมหาศาลเพื่อรักษาพวกเธอ

แต่ถามว่ามันเป็นอันตรายต่อผู้หญิงขนาดนี้ยังมีคนสนับสนุนหรือ? แน่นอน ไปถามประเทศที่ผู้หญิง 3 ใน 4 ผ่านกระบวนการนี้มา เขาก็มองว่าไม่เป็นอะไร และก็ควรจะมีวัฒนธรรมนี้ต่อไป พวกผู้ชายส่วนใหญ่สนับสนุนอยู่แล้ว แต่ที่โหดคือ เขาไปสำรวจจริงๆ ก็พบว่าผู้หญิงเอง 40-50 เปอร์เซ็นต์ก็ไม่ได้มีปัญหากับประเพณีนี้

และเอาจริงๆ ในประเทศที่ใครๆ ก็ถูกทำลายอวัยวะเพศบ้านไหนที่ลูกสาวไม่ได้ผ่านการกระทำแบบนี้ ก็จะโดนบทลงโทษทางสังคมสารพัด และบางทีคนที่จะแอบเอาเด็กผู้หญิงไปทำลายอวัยวะเพศก็คือย่าๆ ของพวกเธอนั่นเอง โดยบางทีพ่อเด็กที่มีการศึกษาหน่อยเริ่มไม่อยากให้ทำ แต่พวกย่าๆ นี่แหละจะแอบพาตัวหลานไปทำลายอวัยวะเพศเพื่อให้ร่างกายของหลานได้มาตรฐานของสังคมและไม่ถูกครหาในชุมชน

และที่เพี้ยนกว่านั้น ในทางตะวันตกเอง พวกนักมานุษยวิทยาหลายๆ คนก็มองว่าการที่คนตะวันตกไปแบนการทำลายอวัยวะเพศหญิงมันก็คือการคิดแบบคนขาวเป็นใหญ่ เพราะคนแอฟริกันเขาก็อยู่กันได้ และก็อย่าได้ไปท้าว่าใครเห็นด้วยก็ไปทำเองสิ เพราะนักมานุษยวิทยาหญิงสัญชาติเซียราลีโอนอย่าง ฟูอัมบาอี อาห์มาดู (Fuambai Ahmadu) นั้นก็ได้เข้าพิธีทำลายอวัยวะเพศตอนที่โตเป็นนักวิชาการแล้ว เพื่อยืนยันว่ามันไม่เป็นอะไรแบบที่คนพยายามจะว่ากัน และแถมยังวิจารณ์อีกว่าคนที่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่คือพวกที่ลดทอนความเป็นผู้หญิงให้เหลือแต่เพียงคลิตอริส

แต่ไม่ว่ายังไง ในมาตรฐานปัจจุบัน ปัญหาจริงๆ มันอาจไม่ใช่การทำลายอวัยวะเพศหญิงเท่ากับผู้ที่ถูกเอาไปทำแบบนี้คือเด็กผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้และทางขัดขืนมากกว่า ซึ่งนี่ก็ทำให้คนไม่น้อยเทียบการทำลายอวัยวะเพศหญิงว่ามันไม่ได้ต่างจากการร่วมเพศกับเด็ก ที่ยังไงก็เป็นการข่มขืนจะอ้างความสมยอมยังไงก็ไม่ได้ เพราะโดยทั่วไป ภายใต้ความสัมพันธ์ทางอำนาจ เด็กนั้นไม่มีอำนาจในการจะปฏิเสธได้เลย

สุดท้าย เผื่อบางท่านอาจจะไม่รู้ มันเคยมีข่าวมาเหมือนกันว่า ทางใต้ของประเทศไทยเองก็มีการทำลายอวัยวะเพศหญิงเหมือนกัน แต่เรื่องก็เงียบไปและคนไทยส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ว่าพิธีกรรมป่าเถื่อนนี้ จริงๆ แล้วมันมีกระทั่งแถวบ้านเรา แค่ไม่ได้แพร่หลายเท่าในแอฟริกา

อ้างอิง