ทำตัวเองเจ็บเอง ก็ต้องแก้เอง! ไอเดีย ‘พลาสเตอร์ที่ติดเองคนเดียวได้’ จากนักเรียนญี่ปุ่นวัย 10 ขวบ
เรียกว่าเป็นหนึ่งในไอเดียสร้างสรรค์ที่หลายคนคงคาดไม่ถึงเลยทีเดียว สำหรับไอเดียของ ‘โคโตเนะ อุกาโมจิ’ (Kotone Ugamochi) เด็กนักเรียนชาวญี่ปุ่นวัย 10 ขวบ ได้คิดค้น ‘พลาสเตอร์ปิดแผล’ สำหรับพันรอบนิ้ว ที่บอกเลยว่าตอบโจทย์การใช้งานจริงอย่างมาก
แล้วถ้าถามว่ามันน่าสนใจยังไง หรือแตกต่างจากพลาสเตอร์ที่เราใช้กันทั่วไปอย่างไร
ก่อนอื่นพลาสเตอร์ที่เราใช้กันนั้น มักพบปัญหาในเรื่องของการไม่ค่อยเหมาะกับรูปร่างของนิ้ว รวมถึงเมื่อเริ่มใช้งานบางครั้งพลาสเตอร์สองข้างดันติดกัน หรือติดไม่แน่นพอ จนหลุดอยู่บ่อยๆ
ขณะที่พลาสเตอร์ของโคโตเนะ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เนื่องจากออกแบบให้ ‘แถบแผ่นซับ (สีขาว) เลื่อนมาอยู่ด้านข้าง’ แทนที่จะอยู่ตรงกลางแบบพลาสเตอร์ทั่วไป ทำให้ง่ายต่อการติดด้วยมือข้างเดียว แก้ปัญหาความน่ารำคาญเล็กๆ น้อยๆ ได้ จนผู้คนต่างฮือฮา พร้อมกับบอกว่านี่มันอัจฉริยะเกินไปสำหรับเด็กอายุเพียง 10 ขวบ
โดยไอเดียดังกล่าว มีจุดเริ่มต้นมาจากการที่โคโตเนะโดนของมีคมบาดเป็นแผลที่นิ้วอยู่บ่อยครั้ง แล้วต้องให้ผู้ใหญ่คอยช่วยติดพลาสเตอร์ให้ ซึ่งบางทีพวกเขาก็ไม่ว่าง น้องเลยคิดอยากที่จะติดเอง แต่ติดเองก็ไม่ค่อยถนัด แถมพลาสเตอร์ยังย่นติดกันไปหมด
ไอเดียนี้ยังได้รับรางวัลเหรียญทองแดงจากงาน International Exhibition for Young Inventors เมื่อตอนปี 2022 กระทั่งมีการพัฒนาต่อยอดร่วมกับร้าน Matsumoto Kiyoshi จนผลิตออกมาเป็นสินค้าและวางจำหน่ายไปทั่วประเทศ
สำหรับคนไหนที่สนใจล่ะก็ พลาสเตอร์แบบใหม่นี้จะขายอยู่ที่ราคา 327 เยน (หรือประมาณ 79 บาท) ต่อ 1 หนึ่งกล่อง (มีทั้งหมด 20 อัน) ขณะเดียวกันหากพิจารณาเปรียบเทียบกับ พลาสเตอร์พันแผลแบบธรรมดา จากแบรนด์เดียวกันนั้น ซึ่งมีราคาอยู่ที่ 217 เยน (หรือประมาณ 52 บาท) ถือมีราคาสูงกว่าเล็กน้อย ซึ่งอาจเป็นผลมาจากวัสดุที่ใช้ เพราะยืดหยุ่นกว่า เหมาะกับการงอนิ้วได้มากกว่า
ไอเดียข้างต้นสร้างกระแสอย่างมากบนโลกโซเชียล และยังช่วยแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของพลาสเตอร์ปิดแผลบริเวณนิ้ว ซึ่งสามารถแก้ปัญหาที่ทุกคนพบเจอบ่อยๆ ได้
อ้างอิง
- soranews24. Trying out the revolutionary adhesive bandages developed by a 10-year-old Japanese girl. http://tinyurl.com/4e3nh367
- quepan. Japanese Elementary School Student’s Idea of an “Adhesive Plaster” is “Too Genius”. http://tinyurl.com/4etb7yr6