คดีสาดน้ำกรดทั่วโลก เกิดกับ ‘ผู้หญิง’ มากกว่าผู้ชาย แถมยัง “เจ็บปวดเหมือนตกนรก”
อยากรู้แต่ไม่มีเวลา อ่านแค่ตรงนี้พอ
การสาดน้ำกรดโดยมีเจตนาทำร้ายผู้อื่นถือเป็นอาชญากรรมอยู่แล้ว แต่สถิติที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกบ่งชี้ว่า ‘ผู้หญิง’ ตกเป็นเหยื่อในคดีเหล่านี้มากกว่า ‘ผู้ชาย’ ซึ่งคาบเกี่ยวกับปัญหาการใช้ความรุนแรงในครอบครัว หลายๆ ประเทศจึงพยายามรณรงค์ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งเรื่องค่านิยมของคนในสังคมและการปรับแก้กฎหมายเพื่อป้องกันไม่ให้คดีเหล่านี้เกิดขึ้นง่ายๆ รวมถึงพยายามหาบทลงโทษผู้ก่อเหตุ และหาทางให้การเยียวยาระยะยาวสำหรับผู้เสียหายที่บอกว่าชีวิตหลังจากนั้น ‘เจ็บปวดเหมือนตกนรก’
ถ้าใครเคยดูละครไทยกันมาบ้าง ก็น่าจะเคยผ่านตากับพล็อตที่ ‘นางร้าย’ ที่ทำตัวร้ายๆ มาตลอดทั้งเรื่อง เจอจุดจบ ‘ถูกสาดน้ำกรด’ จนเสียโฉม และคนดูบางส่วนก็อาจจะพอใจกับการลงทัณฑ์แบบนี้
แต่ในชีวิตจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป เพราะจากสถิติคนที่ถูกทำร้ายร่างกายด้วยน้ำกรดส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงธรรมดา บางคนอาจเป็นแม่ของลูก แฟน อดีตแฟน ที่อาจพบเจอปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับใครสักคน แต่กลับถูกทำร้ายด้วยความรุนแรงและต้องเผชิญกับความเสียหายไปตลอดชีวิต
หรือแม้แต่กรณีที่คนจำนวนหนึ่งมองว่า ‘ชอบธรรม’ เช่น ‘เมียหลวง’ สาดน้ำกรด ‘เมียน้อย’ ก็ยังมีคนอีกมากที่มองว่าเรื่องแบบนี้ ‘ไม่ควรเกิดขึ้นกับใครทั้งนั้น’ แม้กระทั่งสามีที่เป็นต้นเหตุความขัดแย้งระหว่างเมียหลวงหรือเมียน้อยก็ไม่ควรเจอกับการแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงและการทำร้ายร่างกายแบบนี้
เพราะสิ่งที่ว่ามาทั้งหมดคือการก่ออาชญากรรมต่อผู้อื่นซึ่งผิดทั้งกฎหมายและละเมิดสิทธิมนุษยชน
น่าเศร้าที่คดีเหล่านี้ยังคงเกิดขึ้นทั่วโลก และกองทุนระหว่างประเทศเพื่อช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากคดีสาดน้ำกรด (Acid Survivors Trust International หรือ ASTI) ระบุว่าในแต่ละปีมีผู้ถูกทำร้ายด้วยกรด (acid attack) ประมาณ 1,500 คนทั่วโลก และ 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้ถูกทำร้ายเป็น ‘ผู้หญิง’
ข้อมูลของ ASTI ระบุด้วยว่าการก่อคดีเหล่านี้คือหนึ่งในรูปแบบของการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังในหลายประเทศ และกำลังเพิ่มขึ้นในประเทศฝั่งตะวันตก เพราะ ASTI มีสำนักงานใหญ่อยู่ในสหราชอาณาจักร ซึ่งพบคดีสาดน้ำกรดเพิ่มขึ้นในช่วงทศวรรษ 2000 เป็นต้นมา และผู้ก่อเหตุจำนวนหนึ่งให้เหตุผลว่าใช้วิธีนี้เพราะต้องการให้ผู้ถูกทำร้าย ‘อับอายและหวาดกลัว’
ขณะที่รายงานของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) และองค์กรระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน Human Rights Watch ก็ระบุตรงกันว่ารัฐบาลในแต่ละประเทศที่เกิดคดีเช่นนี้ขึ้น ‘มีหน้าที่ต้องคุ้มครองประชาชนของตัวเอง’ โดยต้องคำนึงถึงการปรับแก้กฎหมาย และออกกฎควบคุมการซื้อขายกรดเข้มข้นต่างๆ ให้มีความเข้มงวดยิ่งขึ้น เพราะสารเคมีอันตรายที่หาง่ายเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้มีผู้เสียหายเพิ่มขึ้น
ส่วนการปรับแก้กฎหมายควรมุ่งเน้นให้ผู้เสียหายได้รับการช่วยเหลือเยียวยา ‘ในระยะยาว’ เพราะผู้ที่ได้รับบาดเจ็บในคดีสาดน้ำกรดส่วนใหญ่ ถ้าไม่ถึงแก่ชีวิต ก็จะได้รับผลกระทบทางร่างกายหรือใบหน้าที่ผิดรูป ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันเป็นไปอย่างยากลำบาก จึงต้องคำนึงถึงการบำบัดฟื้นฟูสภาพจิตใจคู่กันไป
ในรายงานของ Human Rights Watch ที่พูดถึงผู้รอดชีวิตจากคดีสาดน้ำกรดในกัมพูชา ระบุว่ามีหลายกรณีที่หน่วยงานด้านสาธารณสุขของรัฐบาล ‘ล้มเหลว’ ในกระบวนการรักษาเยียวยาผู้เสียหายในคดีสาดน้ำกรด ทำให้มีคนจำนวนมากต้องพิการหรือต้องทรมานกับความเจ็บป่วยเรื้อรัง เพราะไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีและทันเวลา โดยผู้เสียหายในคดีนี้รายหนึ่งอธิบายว่าความเจ็บปวดนั้นเหมือนตกนรกทั้งเป็น
นอกจากนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรต้องรณรงค์ต่อสู้กับการกล่าวโทษเหยื่อ (victim blaming) ของคนในสังคมด้วย เช่น การมองว่าเหยื่อว่าอาจจะไปทำเรื่องไม่ดีเอาไว้ก็เลยถูกตามมาแก้แค้น ซึ่งบางคนถือเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว หรือบางทีก็มีการพูดให้ผู้เสียหายยอมรับ ‘บาปกรรม’ ของตัวเอง ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วผู้ก่อเหตุต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองกระทำก่อนเป็นอันดับแรก
OHCHR ระบุว่าผู้ก่อเหตุสมควรได้รับบทลงโทษที่เหมาะสมกับการกระทำของตัวเอง แต่ในบางประเทศ แถบเอเชียใต้กลับมีค่านิยมให้คุณค่ากับผู้ชายมากกว่า จึงมักจะมีคนเข้าข้างผู้ก่อเหตุโดยมองว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นเพื่อ ‘กำราบ’ ผู้หญิงที่ทำตัวไม่ถูกต้องตามขนบธรรมเนียมประเพณีทั้งที่จริงๆแล้ววิธีนี้ก็คือการตั้งศาลเตี้ยทำร้ายคนอื่นโดยไม่ได้ผ่านกระบวนการไต่สวนตามกฎหมายอย่างยุติธรรมใดๆทั้งสิ้น
กรณีของไทย แม้จะไม่อยู่ในกลุ่มประเทศที่อยู่ในรายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชนที่เฝ้าระวังการก่อเหตุด้วยการสาดน้ำกรด แต่ใครที่ตามข่าวก็คงเห็นกันอยู่แล้วว่าในแต่ละปีมีคดีแบบนี้เกิดขึ้นมากกว่าหนึ่งครั้ง และถ้าไปเสิร์ชคำค้นในอินเทอร์เน็ตก็จะพบว่ากรดเข้มข้นนั้นหาได้ง่ายดายอย่างมาก แทบจะไม่ได้มีการควบคุมอะไรเป็นพิเศษ
ล่าสุดก็เพิ่งมีกรณีผู้ช่วยร้านเสริมสวยถูกอดีตคนรักสาดน้ำกรด และจุดประเด็นให้มีการพูดคุยเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลผู้สัมผัสถูกกรดเข้มข้นว่าควรทำอย่างไร
วิธีการทั่วไปคือการล้างแผลแบบใช้น้ำสะอาดไหลผ่าน ซึ่งส่วนใหญ่มองว่าถ้าเกิดเหตุในบ้านก็ให้ใช้น้ำฝักบัวไหลผ่านแผลจนกรดเจือจางให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยจะต้องไม่ไปเช็ดถูบริเวณที่สัมผัสกรด เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อผิวหนัง จากนั้นก็รีบพาส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด และต้องแจ้งกับแพทย์หรือพยาบาลให้ชัดเจนว่าสาเหตุของแผลเกิดจากสารเคมีอะไร
แต่ถึงที่สุดแล้ว สิ่งที่จะเป็นการป้องกันได้ดีที่สุดก็คงเหมือนอย่างในรายงานของ OHCHR และ Human Rights Watch ว่าเอาไว้ นั่นก็คือการทำให้คนในสังคมตระหนักถึงการเคารพในสิทธิมนุษยชนของผู้คนที่อยู่รอบตัว และต้องย้ำหลายๆ ครั้งว่า ‘การใช้ความรุนแรง’ ทำร้ายผู้อื่นไม่ใช่แนวทางที่ควรยึดถือถ้าหากต้องการให้สังคมที่ตัวเองอยู่อาศัย ‘ปลอดภัย’ สำหรับคนทุกคน
อ้างอิง
- ASTI. A World Wide Problem. https://bit.ly/3QSQL2h
- OHCHR. Combating Acid Violence. https://bit.ly/3Dklq57
- Human Rights Watch. “What Hell Feels Like” Acid Violence in Cambodia. https://bit.ly/3d6VdfY
- Sanook. เจ้าของร้านเสริมสวย เล่านาทีสุดช็อก ช่วยสาวโดนสาดน้ำกรด วิ่งหนีตายมาเขย่าประตู. https://bit.ly/3RF9Kyp