‘เพราะใคร ๆ ก็สร้างอิมแพคให้กับโลกใบนี้ได้’ คุยกับทีมผู้ชนะโครงการ ‘Accelerate Impact with PRUKSA Season 2’ โครงการเพื่อสังคมที่ดีจาก ‘พฤกษา’

7 Min
526 Views
13 Dec 2023

หลังจากประสบความสำเร็จอย่างมากในปี 2565 ที่ผ่านมา ‘พฤกษา โฮลดิ้ง’ บริษัทชั้นนำด้านอสังหาริมทรัพย์ของเมืองไทยที่มีนโยบายในการพัฒนาที่ยั่งยืน ก็ได้เปิดตัวโครงการ ‘Accelerate Impact with PRUKSA Season 2’ ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้นักธุรกิจเพื่อสังคม ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในพันธกิจของพฤกษาที่หวังจะขับเคลื่อนสังคม และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดียิ่งขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกใน 3 ด้าน

ได้แก่ ‘ส่งเสริมการสร้างเสริมสุขภาพกายและใจที่ดี’ ‘ลดความเหลื่อมล้ำ เสริมสร้างทักษะที่จำเป็นต่อโอกาสทางการงาน’  และ 

‘การลดคาร์บอนและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน’

ซึ่งเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ที่ผ่านมา ‘พฤกษา’ ได้เผยรายชื่อทีมผู้นะโครงการที่จะได้เข้าร่วมกิจกรรม ‘Accelerate Impact’ เพื่อเพิ่มความรู้ทักษะต่อยอดธุรกิจจากผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ทั้งยังได้รับทุนสนับสนุนกว่า 600,000 บาท และได้รับโอกาสครั้งสำคัญที่จะได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับพฤกษา โดยทีมผู้ชนะในปีนี้เป็นองค์กรธุรกิจเพื่อสังคมที่มีรูปแบบและเป้าหมายธุรกิจ สอดคล้องตรงตามวัตถุประสงค์ของการจัดโครงการมากที่สุด วันนี้ brandthink จึงชวนรู้จักทีมผู้ชนะโครงการว่าเป็นใคร ทำอะไร และจะสร้างอิมแพคเชิงบวกต่อสังคมได้อย่างไร

1.ทีมแอ็กนอสเฮลท์ 

‘เราพร้อมตอบทุกคำถามสุขภาพคุณ ได้ทุกที่ ทุกเวลา’

เพราะต้องการให้คนไทยได้ตระหนักรู้เรื่องสุขภาพมากขึ้น ‘ดร.ปพนวิช ชัยวัฒโนดม’ จึงได้ก่อตั้ง  ‘บริษัท แอ็กนอสเฮลท์ จำกัด’ ขึ้นมาเมื่อ 4 ปีก่อน  โดยได้พัฒนาแอปพลิเคชันที่จะช่วยวิเคราะห์อาการของโรคและประเมินความเสี่ยง เพื่อช่วยลดภาระของแพทย์ในกรณีที่มีอาการป่วยเพียงเล็กน้อยและลดต้นทุนในการรักษาพยาบาล   โดยคุณ ‘ปพนวิช’ ได้กล่าวถึงสิ่งที่แอ็กนอสเฮลท์ทำและสาเหตุที่เข้าร่วมโครงการว่า สิ่งที่องค์กรทำแล้วหลาย ๆ คนรู้จักคือ AI ที่ใช้คัดกรองโรค หรือ ‘AI Symptom Checker’ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถเอาอาการมากรอกแล้วบอกให้ระบบวิเคราะห์เบื้องต้นว่าอาการนี้มีความเสี่ยงมาน้อยเพียงใด จากประโยชน์ตรงนี้ ‘แอ็กนอสเฮลท์’ จึงอยากนำมาต่อยอดให้ผู้คนเข้าถึงมากขึ้นด้วยการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการของพฤกษาเพราะมองว่าเป็นโอกาสที่ทำให้เทคโนโลยีของบริษัทได้เข้าถึงผู้คนจำนวนมาก

นอกจากนี้ ‘แอ็กนอสเฮลท์’ ยังมีวัตถุประสงค์ในการสร้างความรอบรู้ทางสุขภาพ หรือ ‘basic health literacy’ อีกด้วย เนื่องจากตามข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า คนไทยมีความรู้ด้านสุขภาพค่อนข้างต่ำ ทำให้คนบางกลุ่มไปโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น ในขณะที่อีกกลุ่มก็มีอาการเสี่ยงแต่กลับไม่ไป เพราะไม่รู้ว่าอาการเหล่านี้ถ้าปล่อยไว้นานๆจะอันตราย แอ็กนอสเฮลท์ จึงอยากแก้ไขปัญหาตรงนี้โดยการเอา AI เข้ามาช่วย และเห็นว่าแนวทางของพฤกษาอย่างการส่งเสริมการสร้างเสริมสุขภาพกายและใจที่ดีตรงกับสิ่งที่องค์กรทำจึงสมัครเข้ามา

ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้แอ็กนอสเฮลท์ได้พยายามใช้ AI เข้าไปร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาทางการแพทย์ อย่างการร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพัฒนา AI คัดกรองโรคซึมเศร้า ซึ่งเป็นโรคที่คนไทยกว่า 4,000,000 คนประสบปัญหา แต่กลับขาดบุคคลากรที่จะช่วยดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้อย่างมาก คุณปพณวิชได้กล่าวเสริมว่า หลังจากได้รับเงินทุนสนับสนุนแล้ว แอ็กนอสเฮลท์อยากต่อยอดในหลาย ๆ แง่มุม โดยเริ่มจากทดลองดูแลพนักงานของพฤกษาก่อน ก่อนจะลงพื้นที่ชุมชนให้มากขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มที่เป็นลูกบ้านของพฤกษาที่มีฐานผู้อยู่อาศัยกว่า 500,000 ราย เพื่อให้นำเอาเทคโนโลยีเข้าไปใช้ลดค่าใช้จ่าย และสร้างความเข้าใจในเรื่องสุขภาพและโรคต่าง ๆ ของลูกบ้านได้ดีมากยิ่งขึ้น

2.ทีมฟาร์มแคร์ (PHARMCARE) 

‘เราอยากให้คนเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและจับต้องได้’

ด้วยเห็นว่าร้านขายยาชุมชนมีศักยภาพในการพัฒนาชีวิตผู้คนให้ดีขึ้นได้ ‘จินต์ณิภา ปัญญาวุฒิไกร’ จึงตัดสินใจร่วมกับ ‘จมร หุ่นศิริ’ เปิด ‘บริษัท ฟาร์มแคร์ กรุ๊ป จำกัด’ และได้พัฒนาแพลตฟอร์ม ‘PHARMCARE’ ซึ่งเป็นตัวช่วยอัจฉริยะที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพที่ดีขึ้น โดยแพลตฟอร์มนี้สามารถใช้ค้นหาและเข้าถึงร้านขายยาที่มีคุณภาพ และสามารถรับบริการจากเภสัชกรที่พร้อมให้คำแนะนำในระยะไกล้เคียงได้ นอกจากนี้แพล็ตฟอร์มดังกล่าวยังมีบริการด้านสุขภาพที่สามารถตรวจสุขภาพและวิเคราะห์โรคได้เบื้องต้นโดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกด้วย

คุณจมร ผู้ร่วมก่อตั้ง ‘ฟาร์มแคร์’ ได้กล่าวถึงที่มาและสาเหตุที่เข้าร่วมโครงการไว้ว่า โดยแรกเริ่มนั้น บริษัทนี้เป็นความคิดริเริ่มของคุณจินต์ณิภา ปัญญาวุฒิไกร  ที่เติบโตมาในครอบครัวของเภสัชกร และได้เห็นชาวบ้านเดินเข้ามาปรึกษาคุณแม่ของเธอที่ร้านยาในทุก ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นอาการป่วยไข้ของตนเองและครอบครัว รวมไปถึงแนวทางการรักษาโรคต่างๆ เธอจึงเห็นว่าร้านขายยามีศักยภาพที่จะเป็นที่ปรึกษาประจำชุมชน แต่ปัญหาคือ คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าจะหาร้านขายยาคุณภาพได้จากไหน นั่นทำให้ในช่วงแรก ฟาร์มแคร์จึงเริ่มด้วยการทำระบบที่ทุกคนสามารถค้นหาร้านยาคุณภาพในระยะใกล้เคียงได้ด้วยตัวเอง ก่อนจะพัฒนาไปเป็นบริษัท telehealth ที่เชื่อมต่อกับครือข่ายร้านยากว่า 700 ร้าน โดยเราได้นำเทคโนโลยีมาเสริมประสิทธิภาพการทำงานของเภสัชกรในร้านขายยาเหล่านี้ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและสะดวกมากยิ่งขึ้น 

คุณจมรได้กล่าวถึงสาเหตุที่เข้าร่วมโครงการนี้ว่า เป็นเพราะการที่ฟาร์มแคร์อยากสร้างอิมแพคเชิงบวกให้กับสังคม  และเชื่อมั่นว่าสิ่งที่บริษัททำนั้นตรงกับ 3 ข้อสนับสนุนหลักของโครงการ อย่างการสร้างเสริมสุขภาพกายใจที่ดี ที่ฟาร์มแคร์ต้องการให้ทุกคนเข้าถึงบริการจากเภสัชกรและได้รับยาที่มีคุณภาพ  ทั้งยังมุ่งหวังลดความเหลื่อมล้ำผ่านการให้ ร้านยาขนาดเล็ก ที่ค่อย ๆ ปิดตัวลงในช่วงที่ผ่านมาหลังจากต้องแข่งขันกับร้านยาใหญ่ ๆ ได้มีโอกาสกลับมาเชื่อมต่อกับชุมชนอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวเสริมว่า สิ่งที่ฟาร์มแคร์ได้รับจากพฤกษานั้นไม่ใช่แค่เงินสนับสนุนเพียงอย่างเดียว  หากแต่เป็นเครือข่าย ‘asset property’ต่าง ๆ ของพฤกษาไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายคอนโดหรือบ้านทาวน์โฮม ที่ฟาร์มแคร์สามารถนำเครือข่ายร้านยาเข้าไปดูแลลูกบ้านที่อยู่ในเครือข่ายหล่านี้ได้อีกด้วย

3.ทีมแล็บมูฟ (Labmove) 

‘เราไม่ได้อยากแค่เจาะเลือด แต่เราอยากเจาะใจผู้คนให้ตระหนักเรื่องสุขภาพ’

หลังจากช่วงวิกฤตการณ์โควิดที่ผ่านมา ‘นักเทคนิคการแพทย์ วินัย นามธง’ และเพื่อนอีกสองคนที่ร่วมกันทำงานจิตอาสา ได้มองเห็นถึงข้อจำกัดบางอย่างของโรงพยาบาลที่ต้องรับมือกับผู้ป่วยจำนวนมาก จึงตัดสินใจตั้งบริษัท ‘แล็บมูฟ’ ขึ้นมาโดยหวังให้บริษัทนี้ช่วยลดความหนาแน่นในโรงพยาบาล 

คุณ‘วินัย นามธง’ได้กล่าวถึงที่มาของ‘แล็บมูฟ’ รวมไปถึงสาเหตุที่เข้าร่วมโครงการว่าบริษัทนี้เกิดจากนักเทคนิคการแพทย์สามคนได้แก่ตัวคุณวินัยเอง คุณ ‘โฆษิต กรีพร’ และคุณ ‘สัณห์ฉัตร ศรีอรุณสว่าง’ ที่ได้ก่อตั้งแล็บมูฟขึ้นมาเพื่อให้บริการเจาะเลือดที่บ้าน โดยมีเครือข่ายนักเทคนิคการแพทย์กว่า 66 จังหวัดที่พร้อมให้บริการในทุกพื้นที่  โดยสาเหตุที่เข้าร่วมโครงการนั้นเกิดจาก การที่องค์กรทำธุรกิจไปได้สักพัก จนความต้องการที่จะนำเงินทุนสนับสนุนไปพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ที่ช่วยบริหารจัดการองค์กร เพื่อยกระดับธุรกิจให้ตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ใช้บริการที่มีมากขึ้น  

คุณวินัยกล่าวเสริมว่านอกจากต้องการยกระดับธุรกิจแล้ว สิ่งที่ ‘แล็บมูฟ’ ทำยังสามารถช่วยเหลือสังคมได้  ไม่ว่าจะเป็นด้านการส่งเสริมสุขภาพที่ดี ที่แล็บมูปพยายามใช้บริการเจาะเลือดมาเป็นส่วนหนึ่งในการเปิดใจให้ผู้คนดูแลสุขภาพ “สำหรับผมแล็บมูฟ ไม่ใช่แค่บริการเจาะเลือดอย่างเดียว แต่ยังเป็นการเจาะใจประชาชน เพื่อให้พวกเขาเปิดใจในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น ทุกวันนี้ผู้คนส่วนใหญ่จะรอให้ป่วยก่อนถึงจะไปพบแพทย์แต่สิ่งที่เราทำคือการป้องกันให้เขาไม่ป่วย” คุณวินัยกล่าว 

โดยหลังจากที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนแล้ว แล็บมูฟก็มีแผนที่จะส่งเสริมประเด็นดังกล่าว ด้วยการพัฒนาระบบบริหารจัดการที่นำ AI เข้ามาใช้ เพื่อเชื่อมนักเทคนิคการแพทย์เข้ากับผู้ใช้บริการให้เป็นไปอย่างทั่วถึง โดยผู้ก่อตั้งทั้งสามคนเชื่อว่า การได้บริษัทพฤกษาเป็นทีมสนับสนุน ทั้งในด้านเงินทุนและด้านประสบการณ์นั้น จะทำให้แล็บมูฟบรรลุพันธกิจเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น รวมถึงยังโอกาสที่บริษัทจะได้เชื่อมต่อกับชุมชนในเครือข่ายอสังหาริมทรัพย์ของพฤกษา โดยก่อนจบคุณวินัยกล่าวว่า “สุดท้ายแล้วเราอยากเห็นภาพคนไทยใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท เพราะถ้าเราห่วงใยเรื่องสุขภาพ เราจะป่วยช้าลง ป่วยรุนแรงน้อยลง หรือไม่ป่วยเลย” 

4.ทีมวงศ์ไผ่ (WONGPHAI)

‘เพราะโลกนี้เป็นโลกที่เรายืมลูกหลานมาใช้ เราจึงอยากรักษาและส่งต่อให้ดีที่สุด’

‘ถ้าเราดูแลสิ่งแวดล้อมและเพื่อนมนุษย์ให้ดี โลกใบนี้จะดูแลการเงินของคุณเอง’ จากแนวคิดนี้ทำให้ ‘คมชลัช ทองติ่ง’ ก่อตั้งบริษัท ‘วงศ์ไผ่ จำกัด’ ขึ้นมาเมื่อสามปีที่ก่อน โดยหวังให้เป็นเครื่องมือที่จะช่วยสร้างความยั่งยืนและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับสังคม  ‘คมชลัช ทองติ่ง’ ได้กล่าวถึงสิ่งที่ ‘วงศ์ไผ่’ ทำและสาเหตุที่เข้าร่วมโครงการว่า สิ่งที่วงศ์ไผ่ทำคือการเชื่อมต่อผู้คนและสังคมแห่งการเรียนรู้เข้าด้วยกัน ผ่านการทำเกษตรที่ใช้เทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อน โดยประยุกต์เอาเทคโนโลยีไอโอที ( internet of thing) เข้ามาบริหารจัดการ แก้ปัญหาการเผาไม้ไผ่ในชุมชน โดยนำเศษไม้ไผ่เหลือทิ้งมาผลิตไบโอชาร์ ผ่านกระบวนการ ‘Pyrolysis’ ร่วมไปกับใช้เทคโนโลยี IoT ซึ่งช่วยในการวัด รายงาน และยืนยันการลดคาร์บอนในเวลาจริงจากทุกมุมโลก และทำให้เกิดรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิต เพื่อนำเงินส่วนนี้มาเป็นทุนในการรับซื้อไบโอชาร์จากชุมชน ช่วยบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ยังมีประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม คนรุ่นใหม่ในชุมชนไม่ต้องเข้าเมืองเพื่อหางานทำ สร้างความยั่งยืนให้ชุมชน

ซึ่งหลังจากที่วงศ์ไผ่ดำเนินธุรกิจไปได้สามปี ก็ประสบความสำเร็จอย่างมาในระดับโลก โดยได้รับการคัดเลือกจากองค์กร ‘International Biochar Initiative’ ให้เป็นคนไทยเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงาน ‘Biochar Academy’ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา นั้นทำให้คุณคมชลัชเห็นว่าองค์กรจะไปได้ไกลขึ้นถ้าได้ร่วมมือและแลกเปลี่ยนความรู้กับองค์กรที่ใหญ่กว่า จึงตัดสินใจเข้าร่วมโครงการกับพฤกษา ทั้งยังเห็นว่าสิ่งที่วงศ์ไผ่ทำตรงกับข้อสนับสนุนทั้ง 3 ข้อของโครงการ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสังคมที่ยั่งยืนจากการนำรายได้ในการขายคาร์บอนเครดิตหลังจากผลิตไบโอชาร์กระจายลงสู่ชุมชน หรือในเรื่องของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ไบโอชาร์ของวงศ์ไผ่มีส่วนช่วยตรงนี้อย่างมากเพราะผลิตจากขยะเหลื่อใช้ภาคการเกษตร ที่เดิมต้องเผาทิ้งอยู่แล้ว นอกจากนี้ไบโอชาร์ยังมีศักยภาพในการเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นผ่านการที่ถ้ามันถูกผสมลงดินแล้วจะกลายเป็นคอนโดมิเนียมให้จุลินทรีย์ได้เติมโต จนสามารถเป็นแร่ธาตุอาหารให้กับต้นไม้ในที่สุด

.

คุณคมชลัชได้ปิดท้ายการสัมภาษณ์ด้วยการกล่าวว่าจะนำเงินสนับสนุนที่ได้รับจากพฤกษาไปขยายขนาดธุรกิจ โดยเริ่มต้นที่การเพิ่มจำนวนเตาเผาไบโอชาร์จากเดิมที่มีเพียง 1 เตาให้เป็น 4 เตาเพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตไบโอชาร์ เพิ่มการจ้างงาน และลดขยะให้ได้มากขึ้น นอกจากนี้วงศ์ไผ่ยังจะนำประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในด้านการตลาด digital marketing  ของพฤกษาเข้ามาพัฒนาองค์กรด้วยเนื่องจากคิดว่าส่วนนี้เป็นสิ่งที่องค์กรขาด  “ผมเชื่อว่า ‘พฤกษา’ เป็นบริษัทผู้บุกเบิกด้านนี้และมีประสบการณ์มากกว่า10 ปี ผมอยากเดินตามรอยเกวียนที่เขาผ่านมา จะได้ลดเวลาของผม แล้วเอาเวลาตรงนี้ไปแก้ปัญหาให้กับประเทศ เพราะความสำเร็จผม คือ ประเทศไทยต้องไม่เหมือนเดิม” คุณคมชลัชกล่าว