อยากรู้แต่ไม่มีเวลา อ่านแค่ตรงนี้พอ
ในความรับรู้ของคนทั่วไป พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 2 สมัย และจะครบ 8 ปี ในวันที่ 24 สิงหาคม 2565 ขณะที่กฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งใช้อยู่ปัจจุบันก็ระบุว่า คนที่เป็นนายกฯ จะดำรงตำแหน่งต่อกันได้ไม่เกิน 8 ปี แต่ฝ่ายที่สนับสนุนกลับยืนยันว่า ‘ประยุทธ์’ ยังเป็นนายกฯ ต่อไปได้ เพราะกฎหมายบังคับใช้หลังจากที่เขาเป็นนายกฯ สมัยแรกไปแล้ว จึงไม่ควรมีผลย้อนหลัง ซึ่งคนจำนวนมากก็สงสัยว่า ‘แบบนี้ก็ได้เหรอ?’ แต่ถ้าย้อนดูเส้นทางที่ผ่านมาจะพบว่านายกฯ ผู้ไม่ยอมพ้นตำแหน่งง่ายๆ คนนี้เคยรับบทบาทมาหลายอย่าง และรอดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมาแล้ว
อันที่จริงเวลา 8 ปีก็ยาวนานพอสมควร และถ้าจะสรุปว่า พล.อ.ประยุทธ์ ก้าวสู่ตำแหน่งนายกฯ 2 สมัยได้อย่างไรก็ต้องย้อนไปไกลถึงปี 2556 ตอนที่อดีตรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส. ขับไล่ หลังจากมีการผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม (ซึ่งถูกมองว่าจะทำให้อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยถูกรัฐประหารเมื่อปี 2549 ‘พ้นมลทิน’ และได้กลับประเทศ)
การประท้วงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก ทำให้อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ประกาศยุบสภาในเดือนธันวาคม 2556 และรักษาการนายกฯ ต่อไปจนมีการจัดเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 แต่สถานที่จัดการเลือกตั้งหลายแห่งถูกกลุ่ม กปปส. ขัดขวาง และศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ตอนนั้นเป็นผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ก็นำคณะรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการ โดยให้เหตุผลว่าทำไปเพื่อ ‘รักษาความสงบ’
พฤษภาคม 2557
หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร ยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ก็มีการออกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แต่งตั้งตัวเองเป็น ‘หัวหน้า คสช.’ ทันที และระบุว่า รัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่ กปปส. ชุมนุมขับไล่อย่างหนักก่อนหน้านั้น เป็นตัวการทำให้สังคมไทยแตกแยกจน คสช. ต้องเข้ามายุติความขัดแย้ง
สิงหาคม 2557
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่เป็นทหารยศนายพล–นายพัน ทั้งยังได้รับการแต่งตั้งจาก คสช. (ที่มี พล.อ.ประยุทธ์เป็นหัวหน้า) ลงมติ ‘เลือกนายกรัฐมนตรี’ แทนคนไทยทั่วประเทศในวันที่ 21 สิงหาคม 2557 โดยคนที่ถูกเสนอชื่อมีคนเดียว คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้เขาได้รับการลงมติเห็นชอบจาก สนช. ให้ขึ้นเป็นนายกฯ สมัยแรกด้วยมติเอกฉันท์ ก่อนจะได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 24 สิงหาคม 2557
ช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ จากการลงมติของ สนช. ก็ยังรั้งตำแหน่ง ผบ.ทบ. ต่อถึงเดือนกันยายน 2557 จนครบวาระเกษียณราชการ และระหว่างนั้นก็ออกคำสั่ง ‘ปกครองประเทศ’ อีกหลายฉบับ ในฐานะ หัวหน้า คสช. ทั้งยังใช้กฎอัยการศึกให้อำนาจทหาร–ตำรวจจับกุมผู้ต่อต้านรัฐประหาร
แม้คนบางส่วนที่สนับสนุนรัฐบาลทหารจะมองว่าการดำรงตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยเพราะไม่มีการชุมนุมใหญ่เกิดขึ้นอีก แต่ที่จริงแล้วกระแสต่อต้านการรัฐประหารไม่เคยหายไปจากสังคมไทยช่วงนั้นเลย
สื่อต่างชาติรายงานข่าวนักกิจกรรมกลุ่มต่างๆ ประท้วงรัฐบาล คสช. ด้วยการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในหลายรูปแบบ แต่คนที่ต่อต้านส่วนใหญ่ถูกเรียกไป ‘ปรับทัศนคติ’ ซึ่งในทางปฏิบัติก็คือการนำตัวไปคุมขังชั่วคราว และมีการตั้งข้อหา ‘ฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.’ หลายประเทศจึงออกแถลงการณ์แสดงความกังวล และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศก็มองว่า นี่คือการคุกคามสิทธิประชาชน
สิงหาคม 2559
แม้ว่ารัฐบาล คสช. จะแต่งเพลงบอกว่า ‘ขอเวลาไม่นาน’ และให้คำมั่นสัญญากับคนไทยและนานาประเทศที่เป็นภาคีสหประชาชาติว่าจะรีบจัดเลือกตั้งรัฐบาลใหม่โดยเร็วที่สุด แต่ก็ต้องร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เสร็จเสียก่อน และกว่าจะได้จัดการลงประชามติร่าง รธน.ฉบับนี้ ก็ล่วงเลยเข้าสู่ปี 2559
ก่อนจะถึงวันลงประชามติ คนที่รณรงค์ไม่เห็นด้วยกับร่าง รธน. ‘ฉบับ คสช.’ ก็ถูกจับกุมคุมขังไปหลายราย ทำให้การลงประชามติวันที่ 7 สิงหาคม 2559 ถูกวิจารณ์จากหลายฝ่ายว่า ‘ไม่เสรี’ แต่ถึงที่สุดแล้วรัฐบาล คสช. ก็ประกาศว่า รธน.ฉบับนี้ผ่านการเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่ และกลายเป็นรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน
มีนาคม – กรกฎาคม 2562
การเลือกตั้งครั้งแรกหลังจาก คสช. ยึดอำนาจ ถูกจัดขึ้นทั่วประเทศในวันที่ 24 มีนาคม 2562 ปรากฏว่า พรรคเพื่อไทยของอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์และทักษิณ ได้ ส.ส.แบบแบ่งเขตมากสุด 136 ที่นั่ง รองลงมาคือพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งมีแกนนำเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลประยุทธ์ ได้ ส.ส. 116 ที่นั่ง
แต่คณะกรรมการจัดการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ประกาศสูตรคำนวณ ส.ส. แบบใหม่ ในวันที่ 25 มีนาคม 2562 ทำให้มีการปรับจำนวนที่นั่ง ส.ส. ในสภา และพรรคขนาดเล็กอื่นๆ มี ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อในสภาเพิ่มขึ้น แม้จะไม่ได้ชนะการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลย โดยมีพรรคที่ได้ ส.ส. ในสภาเพียง 1 ที่นั่งเพิ่มมา 11 พรรค จนสื่อเรียกว่า ‘พรรคเสียงเดียว’ และต่อมาพรรคเหล่านี้ทั้งหมดก็แสดงความจำนงจะเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐเพื่อจัดตั้งรัฐบาล
รัฐธรรมนูญ 2560 (ที่ร่างโดย คสช.) มอบอำนาจแก่ ส.ว. (ที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช.) ให้มีสิทธิโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ด้วย และ ส.ว. ในสภานี้ก็มีจำนวนมากถึง 250 ที่นั่ง ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งมีชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ ได้รับเสียงโหวตจากพรรคพลังประชารัฐ พรรคเก่าแก่อื่นๆ พรรคเสียงเดียว บวกกับ ส.ว.แต่งตั้ง รวมเป็น 500 คะแนน ในวันที่ 5 มิถุนายน 2562 ขณะที่ ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ แคนดิเดตนายกฯ ของแนวร่วมฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (ที่ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค) ได้ไป 244 คะแนน
อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งรัฐบาลที่พรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำก็ดูจะล่าช้ากว่าที่คิด กว่าจะตกลงจัดสรรตำแหน่งต่างๆ อย่างชัดเจนได้ก็ต้องใช้เวลานานเป็นเดือน โดยวันที่ 10 กรกฎาคม 2562 ถึงได้มีประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ
พฤษภาคม 2557 – ปัจจุบัน
นอกจากตำแหน่ง ผบ.ทบ. หัวหน้า คสช. และนายกฯ ที่เคยเป็นมาหมดแล้ว ปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ์ ยังควบตำแหน่ง ‘รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม’ อีกด้วย และถูกสื่อสายการเมืองมองว่าเป็นการรับมอบอำนาจต่อจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผู้ร่วมก่อรัฐประหาร ซึ่งรับตำแหน่งนี้มาก่อนแล้วในสมัยรัฐบาล ‘ประยุทธ์ 1’
แต่สิ่งที่ฮือฮากว่านั้นคือช่วงโควิด-19 แพร่ระบาดอย่างหนัก ผู้นำและคณะรัฐมนตรีหลายประเทศประกาศไม่รับเงินเดือน เพื่อจะนำเงินไปจัดสรรเยียวยาประชาชน จนมีเสียงเรียกร้องจากผู้ใช้สื่อโซเชียลในไทยให้ พล.อ.ประยุทธ์ สละเงินเดือนตัวเองดูบ้าง และ พล.อ.ประยุทธ์ก็ประกาศในเดือนกรกฎาคม 2564 ว่าจะไม่รับเงินเดือนนายกฯ 3 เดือน
คำประกาศนี้ได้รับเสียงชมเชยจากคนรักนายกฯ แต่ก็มีคนที่กลัวว่านายกฯ จะลำบากเช่นกัน แต่หลังจากนั้นก็มีข้อมูลออกมาให้รู้ว่าต่อให้ไม่รับเงินเดือนนายกฯ 3 เดือน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังมีรายได้อีกหลายทางโดยสำนักข่าวสืบสวนสอบสวน ThaiPublica รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังมีตำแหน่ง ‘ประธานกรรมการ’ ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของภาครัฐอีกเป็นจำนวนมาก รวมแล้วน่าจะมีมากกว่า 70 ตำแหน่ง ซึ่งน่าจะเรียกได้ว่า ‘ไม่ลำบาก’ แน่ๆ
ส่วนเรื่องที่เป็นประเด็นล่าสุดคือการตั้งคำถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องพ้นตำแหน่งนายกฯ ในวันที่ 24 สิงหาคม 2565 หรือไม่ เพราะถ้านับจากวันที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ สมัยแรกเมื่อปี 2557 จนถึงปีนี้ก็รวมเป็น 8 ปี ซึ่งตามเงื่อนไขรัฐธรรมนูญ 2560 จะดำรงตำแหน่งต่ออีกไม่ได้ และประเด็นนี้เคยถูกมองว่ามีไว้เพื่อป้องกันนายกฯ ผูกขาดจากพรรคการเมืองใหญ่ที่ได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนถล่มทลาย แต่พอเป็น พล.อ.ประยุทธ์ คนวงในรัฐบาลก็ตีความว่ารัฐธรรมนูญ 2560 ไม่สามารถบังคับใช้ย้อนหลังได้ จึงไม่ควรนับการดำรงตำแหน่งนายกฯ สมัยแรก แต่ให้เริ่มนับจากสมัยที่ 2 ในปี 2562 แทน และก็จะเท่ากับว่า พล.อ.ประยุทธ์ยังเป็นนายกฯ ต่อไปได้
พรรคร่วมฝ่ายค้านที่ไม่เห็นด้วยกับการตีความกฎหมายเข้าข้าง พล.อ.ประยุทธ์ ก็เลยยื่นเรื่องถึงประธานสภาให้ส่งเรื่องต่อไปยัง ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ เพื่อตรวจสอบและวินิจฉัยวาระการดำรงตำแหน่งของนายกฯ ประยุทธ์ เนื่องจากตามรัฐธรรมนูญมาตรา 158 วรรค 4 กำหนดไว้ว่า ห้ามเป็นนายกรัฐมนตรีเกิน 8 ปี โดยเรื่องนี้ถูกดำเนินการในวันที่ 22 สิงหาคม 2565 นี่เอง
แต่ถ้าดูจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ เคยถูกร้องเรียนมาก่อนแล้วจากการเขียนระบุในใบสมัครสมาชิกของพรรคพลังประชารัฐว่า ตัวเองเคยเป็น ‘ข้าราชการการเมือง’ ซึ่งความจริงแล้วมีสิทธิถูกตีความเป็นลักษณะต้องห้ามที่ขัดกับการดำรงตำแหน่งนายกฯ รวมถึงกรณีถวายคำสัตย์ปฏิญาณรับตำแหน่งไม่ครบ แต่ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญตีตกทั้งสองกรณี ทำให้คนส่วนใหญ่คาดเดาว่าครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็คงจะรอดเหมือนเดิม และคนที่รู้สึกว่า 8 ปีมันนานเกินไปแล้ว ก็อาจต้องเจอกับความผิดหวังอีกครั้ง
อ้างอิง
- NIKKEI ASIA. Term limits unlikely to end Prayuth’s time as Thai prime minister. https://s.nikkei.com/3R0aptr
- ISEAS. “How Much Longer can Thailand’s Prime Minister Rule Before Reaching the Eight-year Limit?” by Termsak Chalermpalanupap. https://bit.ly/3KpCmch
- ThaiPublica. ตามไปดู “ยอดมนุษย์ นายกฯตู่” 7 ปี นั่งประธาน’หัวโต๊ะ’ – หัวหน้าคณะทำงานกี่ชุด ลุยแก้ปัญหาอะไรบ้าง. https://bit.ly/3K8hI02
- BBC Thai. เลือกตั้ง 2562 : 11 “พรรคเสียงเดียว” ร่วมรัฐบาล พปชร. หนุน พล.อ. ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อ. https://bbc.in/3cda73I