ในโลกทุนนิยม ทุกคนอยากรวย ซึ่งโลกแบบนี้ก็มักจะผลิต ‘คู่มือรวย’ สารพัดมา และโดยทั่วๆ ไปมันก็จะเอาตัวอย่างและ ‘บทเรียน’ จากพวกมหาเศรษฐีทั้งหลาย
แน่นอน เราคงเห็นอะไรพวกนี้จนเบื่อแล้ว และคนสมัยนี้ก็มักจะมองงานพวกนี้ว่า ‘ก็รวยนี่ถึงพูดได้’ ซึ่งในแง่หนึ่งก็ถูก เพราะจริงๆ แล้วคนที่จะรวยระดับอภิมหารวย แบบพวกมหาเศรษฐี มันมักจะมีเงื่อนไขเฉพาะจำนวนมาก เรียกได้ว่าต้องเกิดถูกที่ถูกเวลา มีความขยันอุตสาหะมุมานะ มีทักษะบริหารคนเป็นเลิศแถมเป็นคนดวงดีถึงจะเป็นได้แบบนั้น
อย่างไรก็ดี จะเป็น ‘เศรษฐี’ จำเป็นต้องเป็นแบบนั้นเหรอ? คำตอบคือไม่ใช่ อย่างน้อยในงานศึกษาชื่อ Rich Habits ที่ศึกษาเศรษฐีหลายร้อยคน ก็พบว่านั่นไม่ใช่ทางเดียวของคนรวย มันมีอีกอย่างต่ำ 3 แนวทาง
อย่างแรกสุดเลย เราต้องเข้าใจก่อนว่า แนวทางที่เราได้ยินบ่อยๆ ว่าทำแล้วรวย มันคือแนวทางของ ‘ผู้ประกอบการตามความฝัน’ ซึ่งคนจะมาแนวนี้คือต้องทำธุรกิจ และประสบความสำเร็จ ซึ่งถ้าสำเร็จก็รวยจริง แต่ถ้าไม่สำเร็จก็พังระดับล้มละลายได้
ประเด็นคือมาแนวนี้มันก็เหมือน ‘การลงทุนความเสี่ยงสูง’ ทั้งหมด คือคนประสบความสำเร็จมันมีน้อย และเราก็มักจะได้ยินเรื่องแต่จากคนที่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นหนทางจริงๆ มันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หรือจะมีพล็อตดาดๆ แบบต้องประสบความลำบากก่อนจะจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง เพราะสำหรับคนส่วนใหญ่ มันจะเริ่มที่ความลำบาก และก็จะจบด้วยความลำบากเช่นเดิม (จริงๆ อาจจะยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ)
และที่สำคัญกว่านั้น มันไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมาะกับการทำธุรกิจหรือเป็นเจ้าของธุรกิจ ซึ่งบางทีคนที่รู้ตัวก็จะคิดว่าตัวเองไม่มีทางรวย คำตอบคือไม่ใช่ เพราะจริงๆ การประกอบธุรกิจเป็นทางหนึ่งของการ ‘รวย’ หรือมีเงินหลายสิบล้านเท่านั้น จริงๆ คุณยังมีทางอื่นๆ ที่จะรวยได้โดยไม่ต้องทำธุรกิจ
ทางแรกเลยคือคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาอาชีพ คนในแนวนี้ปกติมักจะจบปริญญาด้านสาขาอาชีพเฉพาะมา และทำงานเก่งสุดๆ จนสามารถเรียกร้องค่าจ้างได้สูงลิบระดับหลุดโลก ซึ่งเราจะเจอคนแบบนี้ตั้งแต่พวกทนายเก่งๆ นักออกแบบดัง ยันพวกหมอเก่งๆ คือปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนพวกนี้โคตรรวย เพราะรายได้ที่เขาทำได้มันสูงมาก เรียกได้ว่าถ้าไม่ใช่เงินแบบเลอะเทอะ มันไม่มีทางจะไม่รวยเลย
ทางที่สองคือ พนักงานผู้ไต่ตำแหน่งบริษัท คุณอาจเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ เลย แต่ทะเยอะทะยาน ไต่ตำแหน่งบริษัทไปเรื่อยๆ จนเป็น ‘ผู้บริหารระดับสูง’ ในที่สุด แบบนี้ก็รวยแน่ๆ อาจจะไม่ใช่ระดับเจ้าของบริษัทหรอก แต่คุณก็จะรวยกว่าพนักงานระดับต่ำกว่ามากๆ แบบรายได้ต่างจากพนักงานทั่วไปเป็นสิบๆ เท่า และมีแนวโน้มจะต้องจ่ายภาษีในขั้นภาษีสูงสุด อันเป็นสัญญาณว่าคุณก็น่าจะรวยน่ะแหละ
ทางที่สามคือ คุณเป็นนักออมเงินเพื่อลงทุน อันนี้คือ คุณไม่ใช่เจ้าของกิจการ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ และก็ไม่ใช่ผู้บริหารด้วย คุณเป็นคนทำงานระดับธรรมดา รายได้กลางๆ แต่คุณมีความสามารถเก็บเงินระดับเก่งกาจแบบสุดๆ และมีพื้นฐานด้านการลงทุน แบบนี้คุณก็จะรวยได้ด้วยความมีวินัยในการเก็บเงินเพื่อลงทุนอย่างต่อเนื่อง
จริงๆ คนกลุ่มสุดท้ายนี่จริงๆ มีเยอะมาก และไม่น้อยเป็น ‘คนรุ่นใหม่’ ที่ เกษียณเร็วด้วย ซึ่งถ้าดูภูมิหลังคนเหล่านี้ เราก็จะเห็นว่าส่วนใหญ่คนพวกนี้มีการทำงานที่ดี (คือบริษัทดีอาจเป็นตั้งแต่พวกงานการเงิน งานโปรแกรมเมอร์ หรืองานในพวกสตาร์ทอัพที่จ่ายพนักงานหนักๆ) ซึ่งพวกนี้รายได้ไม่ได้เยอะเลยถ้าเทียบกับพวกที่ว่าก่อนหน้า แต่ความสามารถของคนพวกนี้คือเขามีเทคนิคที่ทำให้สามารถลดรายจ่ายมหาศาล มีวินัยทางการเงินแบบโคตรโหด และมีความรู้ด้านการลงทุนสำหรับนักลงทุนรายย่อยอย่างดี
คนพวกนี้คือคนจำพวกที่มาแชร์ประสบการณ์ว่าตัวเองใช้แค่ 10-20 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ ที่เหลือเอาไปลงทุนหมด และเกษียณได้ภายใน 10 ปีอะไรพวกนี้ ซึ่งถามว่าทำได้จริงมั้ย ก็แน่นอน ไปคำนวณดูก็ทำได้จริง แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยการย้ายบ้านไปที่ถูกๆ เพื่อประหยัดค่าเช่า (หรือกระทั่งนอนในรถ) การกินอาหารราคาถูกๆ ซ้ำๆ เพื่อประหยัดค่าอาหาร และก็แน่นอนคนที่จะมาแนวนี้แบบไปให้สุดก็ต้องไม่บริโภคอะไรที่ไม่จำเป็นเลยโดยเด็ดขาด
ซึ่งพร้อมกันนั้น คนที่จะเป็นแบบนี้ได้ก็ไม่ใช่แค่สักแต่จะเก็บเงิน แต่ต้องเอาไปลงทุนด้วย ซึ่งส่วนใหญ่คนพวกนี้ก็จะลงทุนรวมในกองทุนรวมหุ้นอเมริกาที่ผลตอบแทนมาตรฐานประมาณ 7-8 เปอร์เซ็นต์ ต่อปี เพื่อให้เงินทุนที่หามาขยายไปเรื่อยๆ แบบไม่ต้องไปคิดอะไรมาก ก้มหน้าก้มตาหาเงินพอ
จริงๆ แล้วคนส่วนใหญ่มีโอกาสจะเป็นคนแบบสุดท้ายได้ที่สุด เพราะแค่มีงานดีๆ และหาความรู้ทางการเงินระดับพื้นฐานก็พอเป็นได้แล้ว แต่มันก็น้อยคนจริงๆ ที่จะมีวินัยและความเข้มงวดกับตัวเองระดับมหาโหดจนเป็นได้ระดับนี้ เพราะก็ว่ากันตรงๆ มันจะมีสักกี่คนที่รายได้สัก 5 หมื่นบาทแต่มีรายจ่ายเพียงแค่ 1 เหมือนบาทต่อเดือน
ทั้งนี้ ก็ต้องไม่ลืมว่าทั้ง 4 ทางไม่ใช่สิ่งที่คุณ ‘ต้องเลือก’ จะเดินไปในทางใดทางหนึ่ง คุณอาจเป็นอย่างหนึ่งในช่วงชีวิตเป็นอีกอย่างในอีกช่วง และอาจเป็นหลายอย่างพร้อมกันก็ได้ คุณอาจเป็นพนักงานที่ไต่จนถึงระดับสูงสุดของบริษัทและหอบเงินทุนมาทำตามความฝันจนสำเร็จก็ได้ คุณอาจทำความฝันจนหมดตัว แล้วกลับมาตั้งตัวกับการทำงานในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่เอาเงินส่วนใหญ่ไปลงทุนจนรวยในที่สุดก็ได้ หรือคุณก็อาจเป็นพนักงานระดับล่างที่รับลำไพ่พิเศษในฐานะผู้เชี่ยวชาญจนมีเงินเดือนระดับเดียวกับผู้บริหารก็ได้
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่า ทุกคนจะทำแบบที่ว่าได้ทั้งหมด คนส่วนใหญ่ไม่น่าจะทำได้ ไม่งั้นก็คงรวยกันไปหมดแล้ว แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า บางทีถ้าคุณอยากรวยจริงๆ คุณก็อาจต้องลองทุกวิธีที่ว่ามาก่อน อย่าไป “ออกจากงานไปทำธุรกิจในฝัน” แต่อย่างเดียว เพราะนั่นทำคนเจ๊งมานักต่อนักแล้ว บางทีที่ทางของคุณที่เหมาะกับคุณจริงๆ อาจเป็นการเป็นพนักงาน หรือเป็นฟรีแลนซ์ก็ได้ ไม่ใช่เจ้าของกิจการแบบที่เขาเชียร์ให้เป็นกันมายาวนาน
ถ้ามันเข้าที่เข้าทางจริง ถึงไม่ใช่เจ้าของกิจการ สุดท้ายมันรวยได้ที่เลยเหมือนกัน
อ้างอิง
- CNBC. This is the fastest path to becoming a millionaire—but it’s also the hardest, says money expert. https://cnb.cx/3fjAHWE