อะไรเอ่ย กีฬาสุดโหดเมื่อกว่า 500 ปี ที่แม้แต่พระราชินีอังกฤษยังติดงอมแงม

6 Min
544 Views
09 Oct 2020

ชอบดู “กีฬา” กันมั้ยครับ? การดู “กีฬา” เป็นกิจกรรมยามว่างที่เก่าแก่สุด ๆ แล้วของมนุษย์ ซึ่งเหตุผลของการดู “กีฬา” ก็คือมันเป็นความตื่นเต้นเร้าใจคาดเดาไม่ได้ว่าใครจะชนะ ซึ่งนี่เป็น “รูปแบบความบันเทิง” ที่ต่างจากการความบันเทิงในการฟังเพลง ดูละคร หรือภาพยนตร์

อย่างไรก็ดี แม้ว่ามนุษย์จะดู “กีฬา” มาตั้งแต่โบราณ ความหมายของ “กีฬา” ในสมัยก่อนก็แตกต่างจากสมัยนี้ สมัยนี้เราแยก “กีฬา” กับการออกกำลังกายแทบจะไม่ออก เพราะในความเข้าใจของคนทั่วไปในปัจจุบัน กีฬาก็คือการออกกำลังกายที่มีการแข่งขันกัน แต่สำหรับคนโบราณ “กีฬา” คือการแข่งขันอะไรก็ได้ที่ดูแล้วบันเทิง ดังนั้นในแง่นี้ สำหรับคนโบราณ การดูการแข่งม้า การดูไก่ชน ก็จึงเป็นการดูกีฬาที่ไม่ได้ต่างจากการดูฟุตบอล บาลเกตบอล หรือมวยของคนปัจจุบัน

ใช่แล้วครับ สมัยก่อน “นักกีฬา” ไม่จำเป็นต้องเป็นมนุษย์ สัตว์ก็เป็น “นักกีฬา” ได้ ในแง่ของสิ่งที่จะมาแข่งกันให้มนุษย์ดูเพื่อความบันเทิง

บางคนอาจจะยักไหล่ ไม่รู้สึกว่ามันแปลกอะไร เพราะสมัยนี้ ปลากัด ไก่ชน ชนด้วง ก็ยังมีอยู่

แต่ใจเย็น ๆ ครับ ความสนุกกำลังจะเริ่มขึ้น

ที่คุณนึกถึงพวก “กีฬา” อย่าง ปลากัด ไก่ชน ชนด้วง ก็เรียกได้ว่ามาถูกทางแล้ว เพราะธรรมชาติของมนุษย์ทั่วโลกที่คล้ายกันอย่างหนึ่งก็คือ มนุษย์ชอบดูสัตว์สู้กัน มันเป็นความสนุกที่มีมาแต่โบราณ

ว่าแต่ทำไมต้องเป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ อย่าง ไก่ ปลา และด้วงด้วยล่ะ? คนสมัยก่อนชอบดูอะไรใหญ่กว่านั้นครับ

ถ้าใครนึกออก ก็คงนึกออกว่าอย่างน้อย ๆ ในสมัยโรมัน ก็จะมีการเอาสัตว์ป่ามาสู้กับทาสเพื่อให้คนดูในโคลอสเซียมเพื่อความบันเทิง ซึ่งนี่คือ “กีฬา” ยอดฮิตที่คนโรมันชอบดู

อันนี้เป็นเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ แต่เคยสงสัยมั้ยครับว่า หลังจากโรมันแล้ว “กีฬา” พวกนี้หายไปไหน?

คำตอบคือ เอาจริง ๆ การสร้างสถานที่ดูกีฬาที่ใหญ่อย่างโคลอสเซียมไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ อารยธรรมไม่ใหญ่จริงทำไม่ได้ และในทำนองเดียวกัน การไปจับสัตว์ป่ามาก็ต้องใช้ทรัพยากรมหาศาลเช่นกัน เรียกได้ว่าถ้าสังคมไม่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรนี่ไม่มีปัญญา “จัดกีฬา” อลังการงานสร้างแบบนี้ดูแน่ ๆ ซึ่งการที่ไม่มีรัฐที่ใหญ่โตแบบอาณาจักรโรมันก็คือภาวะพื้นฐานของสังคมยุคกลางอันเป็นยุคต่อจากโรมันอยู่แล้ว แต่ที่สำคัญกว่านั้น สิ่งที่หายไปหลังโรมันล่มสลายก็คือ “ทาส” กล่าวคือ ในยุคกลางมันไม่มี “ทาส” อย่างมากมายเป็นล่ำเป็นสันที่จะสั่งให้ดูกันให้ตาย หรือให้ไปสู้กับสัตว์เพื่อให้คนอื่นดูเพื่อความบันเทิงได้อีกแล้ว

นี่คือ “ความสนุก” ของมนุษย์ที่หายไปพร้อม ๆ กับจักรวรรดิ์โรมัน อย่างไรก็ดี ก็อย่านึกว่ามนุษย์จะยอมแพ้ง่าย ๆ ครับ เพราะมีรัฐที่ยิ่งใหญ่เมื่อไร “กีฬา” โหด ๆ ก็จะเกิดขึ้นเสมอ แม้ว่าจะไม่ได้อลังการเท่าสมัยโรมัน นี่ก็เป็นเพราะเพราะมนุษย์ต้องการดูอะไรที่ตื่นเต้น

รัฐที่ใหญ่เป็นปึกแผ่นมีอำนาจศูนย์กลางชัดเจนของยุโรปรัฐแรก ๆ ภายหลังยุคกลางคืออังกฤษ (ส่วนหนึ่งเพราะเป็นเกาะ รัฐในยุโรปที่รบกันไปรบกันมาทำให้ดินแดนหดเข้าออกตลอด) ซึ่งพอมีการสถาปนารัฐชัดเจนมั่นคง ชนชั้นนำเริ่มว่างแล้ว เริ่มอุ่นใจแล้ว “กีฬา” โหด ๆ ก็เริ่มกลับมา

มีการบันทึกชัดเจนว่า “กีฬา” ยอดฮิตในอังกฤษช่วงราว ๆ 500 ปีก่อน คือการเอาหมามากัดกับหมีให้ตายกันไปข้าง โดย “กีฬา” ชนิดนี้เรียกว่า Bear-Baiting

ใช่ครับ “หมา” ที่เป็น “เพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์” นี่แหละ เอามากัดกับหมีที่เป็นสัตว์ป่าตัวใหญ่ที่สุดที่หาได้ในอังกฤษ

ทุกวันนี้เราอาจมองว่าการเอาหมามากัดกับหมีนี่ คนดูนี่น่าจะเป็นพวกมีรสนิยมเฉพาะกลุ่ม แต่ในความเป็นจริงเมื่อประมาณ 500 ปีก่อน นี่คือ “กีฬา” ที่คนอังกฤษดูกันจริงจังสุด ๆ ไม่ได้ต่างจากที่ทุกวันนี้ดูฟุตบอล เรียกได้ว่า มีการสร้าง “สนามแข่ง” เป็นจริงเป็นจังจุคนได้จำนวนมากเลย ซึ่งสนามแข่งเหล่านี้เรียกว่า Beargarden

รูปแบบ “กีฬา” ชนิดนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ก็เอาหมีล่ามเอาไว้ แล้วก็ปล่อยหมาไปสู้กับหมีแหละครับ ซึ่งก็ไม่ใช่การสู่ตัวต่อตัว แต่จะใช้หมาหลายตัวรุมหมี เพื่อให้สมน้ำสมเนื้อ แล้วคนดูก็ส่งเสียงเชียร์เหล่าหมาอย่างเมามัน นี่แหละ สุดยอดกีฬามัน ๆ เมื่อ 500 ปีก่อนในอังกฤษ

ซึ่งก็อย่านึกนะครับว่า “กีฬา” ชนิดนี้จะเป็นสิ่งที่นิยมแค่ในชนชั้นล่างในยุคนั้น เพราะในกลุ่มคนดูก็เต็มไปด้วยชนชั้นสูง และเรียกได้ว่าระดับพระมหากษัตริย์และพระราชินีก็มาดู และก็มีบันทึกไว้ชัดเจนว่าทั้งพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 และสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 ของอังกฤษก็ล้วนชอบดูกีฬา Bear-Baiting สุด ๆ แบบจะไม่พลาดแมตช์สำคัญๆ เลย

กล่าวคือ Bear-Baiting คือกีฬามหาชนของอังกฤษเมื่อ 500 ปีก่อนโดยแท้

ซึ่งแม้ว่ามันจะฟังดูโหดเหี้ยมมาก ที่เอาสัตว์มากัดกันเลือดสาดให้คนดู ชนชั้นสูงนี่เขานิยมอะไรโหด ๆ แบบนั้นเหรอ? เพราะอย่างน้อย ๆ ทุกวันนี้ถ้าเรานึกถึงการตีไก่ การกัดปลา เราก็จะไม่ได้คิดว่ามันเกี่ยวอะไรกับชนชั้นสูงเลย เป็นอะไรที่ “ชาวบ้าน” สุด ๆ

ตรงนี้สิ่งที่เราต้องไม่ลืมก็คือ สังคมที่จะจัด “กีฬา” แบบนี้ได้ ต้องเป็นสังคมที่มีทั้งเวลาว่างและทรัพยากรอย่างมหาศาลนะครับ เพราะหมีเนี่ย “ชาวบ้าน” ชาวบ้านทั่ว ๆ ไปไม่มีปัญญาจะไปจับเพื่อมาล่ามกัดกับหมาหรอก มันต้องระดมพลคนมากมายไปจับ ดังนั้นการจะไปจับหมีเพื่อมากัดกับหมาจึงเป็นเรื่องของชนชั้นสูง ไม่ใช่เรื่องของชาวบ้าน

เหนือไปกว่านั้นในสังคมยุโรปยุคนั้นมันมีกฎหมายมาตรฐานเลยที่จะห้ามชาวบ้านไป “ล่าสัตว์” เพราะการ “ล่าสัตว์” เป็นกิจกรรมที่ถูกสงวนไว้ให้ชนชั้นสูงเท่านั้น ซึ่งการไปจับหมีเพื่อมากัดกับหมานี่ คุณก็ต้องมีบรรดาศักดิ์ คุณถึงจะทำได้ ซึ่งช่วงหลัง ๆ ตอนที่อังกฤษไม่เหลือหมีแล้ว ก็ถึงกับมีการ “นำเข้า” หมีมาเพื่อเอามากัดกับหมาเพื่อความบันเทิงด้วยซ้ำ ซึ่งก็คงไม่ต้องบอกว่าการนำเข้าหมีจากยุโรปเข้ามาอังกฤษในสมัยที่การคมนาคมขนสิ่งยังไม่สะดวกเนี่ย คนที่จะทำได้ต้องมีเงินมีทองมหาศาล

ดังนั้นการจัดหมีมากัดกับหมาได้นี่ มันไม่ใช่กระจอกครับ ก็ไม่แปลกที่นี่คือ “กีฬา” ที่ชนชั้นสูงนิยม

แต่มันมีแต่ “หมี” เหรอที่ถูกเอามากัดกับหมา? คำตอบคือไม่ใช่ครับ หมีนี่คือสเกลใหญ่สุด คนดูเยอะสุด เทียบกับกีฬาปัจจุบันก็อาจเป็นแมตช์ชิงแชมป์ประมาณนี้ ความยิ่งใหญ่และหาดูยากมันเลยเป็นสิ่งที่ชนชั้นสูงชอบดู แต่ “กีฬา” ในระดับรอง ๆ ลงมาที่ฮิตกันในหมู่ชาวบ้าน การเอาหมามากัดกับตัวอะไรสารพัดเท่าที่มนุษย์จะจินตนาการออก ไปจนถึงการเอาหมากัดกันเองให้ “คอกีฬา” ที่เป็นชาวบ้านดู

ซึ่งก็อย่านึกว่านี่เป็นเรื่องเพี้ยน ๆ เพื่อความบันเทิงเท่านั้น เพราะคนยุคนั้นก็จริงจังกันมาก ๆ กับการสร้างหมาที่จะมีความสามารถในการต่อสู้กับสัตว์อื่น ๆ ให้มนุษย์ดูได้เพลิน ๆ เรียกว่าถึงกับเพาะพันธุ์หมาหลายสายพันธุ์มาเพื่อการนี้เลย ซึ่งสิ่งที่หลงเหลือมาทุกวันนี้ก็คือหมา Bulldog นี่แหละครับ ดั้งเดิมมันไม่ได้หน้าตาแบบนี้ แต่มันเป็นหมาพันธุ์ที่ปราดเปรียวที่มนุษย์เพาะพันธุ์มาเพื่อให้มันกัดกับวัวให้มนุษย์ดูเพื่อความบันเทิง ซึ่งหมาพันธุ์นี้เรียกว่า Old English Bulldog อันเป็นต้นสายพันธ์ุของ Bulldog ที่ในปัจจุบันที่มนุษย์เลี้ยงเพื่อเป็นเพื่อนคู่ใจไปแล้ว ไม่ได้เอาไว้กัดกับวัวแบบในอดีต แต่ก็นั่นแหละคับ “ร่องรอย” ทางประวัติศาสตร์ก็ยังหลงเหลืออยู่ที่ชื่อของพวกมัน

ซึ่งก็ไม่ใช่แค่วัวครับ พวกสัตว์ที่หาได้ทั่วไปอย่าง ม้า ลา ไปจนถึงหนู ก็ถูกจับมากัดกับหมาให้มนุษย์ดูเพื่อความบันเทิงกันทั้งนั้น

ตรงนี้เราอาจรู้สึกว่าคนสมัยก่อนนี่ป่าเถื่อนสิ้นดี แต่ก็ต้องเข้าใจครับว่าคนสมัยก่อนมันไม่มี “ความบันเทิง” มากมายหรอก กีฬาแบบแข่งกันเป็นลีกให้ลุ้นให้เชียร์ทีมที่ชอบก็ไม่ได้มีแบบทุกวันนี้ ก็ได้เอาสัตว์มากัดกันนี่แหละ สร้างความตื่นเต้นในชีวิตจากชีวิตอันน่าเบื่อได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว ซึ่งคิดง่าย ๆ ก็เหมือนบ้านเราชอบชนไก่นี่แหละครับ นี่ก็คล้าย ๆ กัน แค่ใช้สัตว์ใหญ่กว่า และจัดสถานที่ “แข่ง” ใหญ่โตกว่า

อ่านมาถึงตรงนี้ เราก็อาจสงสัยว่า สมัยนี้มันไม่มีกีฬาแบบนี้แล้วนี่ในอังกฤษ มันหายไปเมื่อไร? คำตอบคือหายไปช่วงศตวรรษที่ 19 หรือช่วงเกือบ 200 ปีที่แล้วครับ มันมีสองปัจจัยช่วยกัน ปัจจัยแรกคือแนวคิดเรื่องสิทธิสัตว์รวมถึงกฎหมายสิทธิ์สัตว์ที่เกิดตอนกลางศตวรรษที่ 19 สิ่งเหล่านี้ส่วนหนึ่งก็เกิดจากบรรยากาศทางความคิดของคนเปลี่ยน ชนชั้นกลางในสังคมมากขึ้น และคนกลุ่มใหม่ของสังคมนี้ก็มองว่าการเอาสัตว์มากัดกันเลือดสาดเพื่อความบันเทิงคือสิ่งป่าเถื่อนที่มนุษย์ไม่ควรจะทำอีกแล้ว และมันก็เสื่อมความนิยมไปในคนหมู่มาก อีกปัจจัยคือการเกิดขึ้นของกีฬาสมัยใหม่สำหรับมนุษย์ที่มีกฎกติกาชัดเจน พอมนุษย์เริ่มมี “กีฬา” แบบใหม่ที่ไม่นองเลือด แต่ก็ได้ความตื่นเต้นกับผลแพ้ชนะ มนุษย์ก็เริ่มหันไปดูกีฬาเหล่านี้แทนกีฬานองเลือดสมัยก่อนที่เอาสัตว์มาสู้กัน และทำให้กีฬาพวกนี้เรียกได้ว่า “สูญพันธุ์” ไปในที่สุดเมื่อราว 200 ปีก่อน อย่างน้อยก็ในระดับของ “กีฬาบนดิน”

ซึ่งที่กล่าวแบบนี้ก็เพราะว่า พวกกีฬาป่าเถื่อนนองเลือด ทุกวันนี้มันก็ยังดำรงอยู่ บ้านเราที่เพิ่งมีกฎหมายคุ้มครองสิทธิสัตว์ได้ไม่นาน เราก็คงยังจะเห็นว่าการตีไก่ การกัดปลา ก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่ได้หายไปไหน ซึ่งอะไรพวกนี้เราไม่ได้มองว่ามันป่าเถื่อน เพราะเราเห็นมันเป็นปกติ แต่ถ้าเป็นคนจากประเทศที่สิทธิสัตว์จริงจัง “กีฬา” พวกนี้ป่าเถื่อนทังนั้น

และที่มากกว่านั้น “กีฬานองเลือด” แบบคลาสสิกแบบเอาหมามากัดกันจริง ๆ ก็ยังดำรงอยู่แม้ในประเทศที่เจริญแล้ว แม้แต่ในอเมริกาหรือญี่ปุ่น เพียงแต่สิ่งเหล่านี้มัน “ลงใต้ดิน” ไปหมดแล้ว เพราะมันผิดกฎหมาย ไม่ใช่เป็นกีฬามหาชนแบบในอังกฤษเมื่อ 500 ปีก่อน

ทั้งนี้ทั้งนั้น เผื่อจะสงสัย เอาจริง ๆ ทุกวันนี้การเอาหมามากัดกับหมีก็ยังมีอยู่นะครับ โดยประเทศที่โด่งดังมาก ๆ คือปากีสถาน ไปลองค้น YouTube ว่า “Pakistan Bear-Baiting” ได้เลย แต่เตือนไว้ก่อนว่าต้องทำใจดี ๆ นะครับ เพราะดู ๆ ไปนี่อาจสงสารหมีอย่างจับใจเลยทีเดียว

อ้างอิง: