อย่างที่เราเห็น สถานการณ์ COVID-19 ทำให้ภาพการทำงานในโลกอนาคตชัดขึ้น
เรื่อง Work From Home น่าจะเป็นส่วนที่ชัดที่สุด ซึ่งหลายบริษัทก็มีนโยบายแบบนี้ต่อไป ถึงแม้สถานการณ์จะคลี่คลายแล้วก็ตาม
นอกเหนือจากการทำงานที่บ้าน โลกการทำงานในอนาคตจะมีหน้าตาแบบไหน?
Jacob Morgan นักเขียนและนักวิเคราะห์อนาคต พยากรณ์อนาคตในโลกการทำงานไว้แบบนี้…
ส่วนร่วม / ประสบการณ์
ในอดีตองค์กรอาจจะมีการสร้าง ‘การมีส่วนร่วมของพนักงาน’ ให้พนักงานรู้สึกผูกพันและภาคภูมิใจ แต่ปัจจุบัน เราอาจจะต้องมาดูถึง ‘ประสบการณ์’ ที่คนทำงานได้รับมากกว่า ทั้งในเรื่องของวัฒนธรรม เทคโนโลยี และพื้นที่ (ทางกายภาพ) ซึ่งองค์กรในอนาคตต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่พนักงาน ‘อยากมา’ ไม่ใช่แค่ ‘จำเป็นต้องมา’ ประสบการณ์ที่ดี จะทำให้พวกเขาอยากทำงาน และทำงานที่มีประสิทธิภาพ
ทักษะด้านความรู้ / ทักษะด้านสังคม
ทักษะด้านสังคม หรือความฉลาดทางอารมณ์จะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในอดีตเราอาจจะโฟกัสไปที่ทักษะด้านความรู้ความสามารถโดยตรง แต่ในวันที่โลกหมุนไว อะไรเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บางทีประเด็นของการเรียนรู้ การปรับตัว และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ก็กลายเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน
เวลาและสถานที่ที่ชัดเจน / ความยืดหยุ่น
ประเด็นนี้เราน่าจะเห็นกันชัดขึ้น หลังจากสถานการณ์ COVID-19 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเวลาเข้างาน เวลาออกงาน การทำงานที่บ้าน หรือการมาทำงานที่ออฟฟิศ วันเวลาที่ยืดหยุ่นน่าจะเป็นรูปแบบการทำงานของโลกยุคใหม่ ซึ่งไม่ได้แปลว่าจะได้งานน้อยลง แต่คนทำงานสามารถจัดสรรชีวิตให้เหมาะสมกับตัวเองได้
หัวหน้าออกคำสั่ง / หัวหน้าสอนและให้คำปรึกษา
แทนที่จะบอกคนอื่นว่าต้องทำอะไร ผู้นำจำเป็นต้องเชื่อมั่นว่า หน้าที่ของเขาจะช่วยสร้าง ‘ความเป็นหัวหน้า’ ให้พนักงานคนอื่นด้วย ถึงแม้ว่าการสอนและให้คำปรึกษานั้นจะทำให้ลูกน้องประสบความสำเร็จมากกว่าก็ตาม Jacob Morgan ระบุว่า “ผู้นำควรเป็นเหมือนประภาคาร ที่ส่องสว่างนำทางผู้คนไปสู่ความสำเร็จอย่างปลอดภัย”
ทำงานเหมือนหุ่นยนต์ / ทำงานกับหุ่นยนต์ (AI)
มาเวลาเดียวกัน ออกเวลาเดียวกัน ทำงานที่เดียวกัน แต่งตัวเหมือนกัน มนุษย์ในปัจจุบันอาจจะไม่ต้องทำงานในรูปแบบนั้นแล้วครับ (เพราะมีหุ่นยนต์หรือ AI มาแทนหมดแล้ว ถ้าจำเป็นต้องทำอะไรวนๆ ซ้ำๆ แบบนั้นก็ใช้หุ่นยนต์เถอะ) เราควรใช้ประโยชน์จากความเป็นมนุษย์ทั้งในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์และกลยุทธ์ภายใต้การสนับสนุนเหล่า AI ที่มั่นคงและแม่นยำ
ทำงานเป็นลำดับขั้น / องค์กรแบบราบ
ในอดีตองค์กรใหญ่จะคุ้นชินกับการทำงานเป็นลำดับขั้น ซึ่งจะแบ่งตามขั้นตามตำแหน่งกันไป เวลาคุยงานหรือปรึกษางาน อาจจะคุยได้เฉพาะกับคนที่อยู่เบื้องบนขึ้นไปลำดับขั้นเดียวหรือหัวหน้าทีม แต่องค์กรแบบแบนราบจะทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงกัน สื่อสารกันได้มากขึ้น และลดระยะเวลาในบางขั้นตอนไปอีกด้วย
พนักงานประจำ / รูปแบบการทำงานที่หลากหลาย
ในทศวรรษที่ผ่านมารูปแบบการทำงาน จะมีเส้นแบ่งอย่างชัดเจน เป็นพนักงานประจำ หรือไม่ประจำ แต่ในยุคปัจจุบัน การทำงานมีรูปแบบที่แตกต่างกว่านั้น เป็นได้ทั้งพนักงานประจำ ฟรีแลนซ์ ฟรีแลนซ์ประจำ ฟรีแลนซ์เฉพาะโปรเจ็ค หรือพนักงานประจำแต่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ รูปแบบที่แตกต่างออกไปนี้ให้ประโยชน์กับทั้งตัวออฟฟิศและพนักงานในการจัดการรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับตัวเอง
สมดุล ชีวิต-งาน / งานผสานชีวิตส่วนตัว
work-life balance เป็นประโยคทองในยุคที่ผ่านมา เพราะการแบ่งงานให้ไม่กลืนกินชีวิต นับว่าเป็นสิ่งที่ดีเสมอ แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความยืดหยุ่นที่มากขึ้น การทำงานรูปแบบใหม่อาจจะเข้าไปผสานกับชีวิตส่วนตัวมากขึ้น งานคือชีวิต ชีวิตคืองาน อาจจะฟังดูไม่ดี แต่ถ้าเรามองด้วยความยืดหยุ่นมันก็ไม่ได้แย่อะไรมาก ถ้าเราจัดการมันให้ดี เราอาจจะมีเวลาให้ชีวิตมากขึ้นด้วยซ้ำ
ใช้สัญชาตญาณตัดสินใจ / ใช้ข้อมูลช่วยตัดสินใจ
ในวันที่เราสามารถรวบรวมข้อมูลได้ง่ายและแม่นยำ การใช้ข้อมูลมาช่วยตัดสินใจนับว่าเป็นเรื่องดีมากขึ้น แทนที่จะพึ่งพาแต่สัญชาตญาณของผู้มากประสบการณ์ การเอาข้อมูลมาใช้ทำให้เราเห็นภาพที่ชัด และเป็นเข็มทิศสำคัญในการตัดสินใจในแต่ละประเด็น
บริษัทเหมือนโรงงาน / บริษัทเหมือนห้องทดลอง
การทำงานในสมัยก่อน อาจจะเป็นเรื่องของการทำตามคำสั่ง ทำซ้ำ และหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด แต่ปัจจุบันองค์กรที่ดีควรเป็นเหมือนห้องทดลองที่เปิดโอกาสให้พนักงานได้เรียนรู้ ได้สร้างสรรค์ อาจจะผิดบ้าง แต่มันก็คือความท้าทายสู่สิ่งใหม่ๆ ที่ดีกว่า
แล้วคุณล่ะครับ มองอนาคตของการทำงานว่า กำลังเปลี่ยนแปลงโลกไปสู่สิ่งที่ดีกว่า หรือคิดว่าการทำงานรูปแบบใหม่จะทำร้ายเรามากขึ้น มาร่วมแชร์กันดีกว่า!
อ้างอิง:
- LinkedIn. This Is What The Future Of Work Looks Like. https://bit.ly/2X7unJS