ทุกๆ หนึ่งนาที โลกมีขยะจากขวดพลาสติกเกิดขึ้นประมาณ 1 ล้านใบ
[อ้างอิง https://bit.ly/31vUDjl]
ตัวเลขดังกล่าวมาจากรายงานของสหประชาชาติ ว่าด้วยเรื่องขยะพลาสติกประเภทบรรจุภัณฑ์ แบบขวด ที่ระบุว่า ในแต่ละปี ทั่วโลกจะมีการขายขวดน้ำพลาสติกราว 480 ล้านใบ
ในจำนวนนั้น 7% นำมารีไซเคิลเป็นขวดใหม่ ส่วนที่เหลือจบลงที่การฝังกลบ เผาทิ้ง หรือโยนทิ้งในมหาสมุทร หรือไม่ก็ ‘ลักไก่’ ส่งไปทิ้งและกำจัดในประเทศโลกที่สาม
จนกระทั่งปีที่ผ่านมา เมื่อประเทศที่รับขยะมารีไซเคิล เช่น จีน และกลุ่มประเทศในโซนเอเชีย เริ่มปฏิเสธ
ประเทศต้นทางขยะรายใหญ่ต่างระส่ำระสายและต้องดิ้นรนหาทางจัดการกับขยะจำนวนมหาศาลที่ตัวเองก่อไว้
แต่ดูเหมือนว่า ‘นอร์เวย์’ จะไม่ทุกข์ร้อนกับสิ่งที่เกิดขึ้น คำถามคือ เพราะอะไร?
หากใครมีโอกาสเดินทางไปนอร์เวย์ แล้วไม่พบขวดพลาสติกในถังขยะ หรือถูกวางเกลื่อนกลาด ก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะที่นี่มีระบบการจัดการขวดพลาสติกที่โอ้อวดได้เต็มปากเลยว่า เป็นเบอร์หนึ่งของโลก
สาเหตุก็เพราะว่า รัฐบาลนอร์เวย์สร้างแรงจูงใจกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตขวดพลาสติก ผ่านการลดหย่อนภาษี
หากบริษัทใดนำขวดพลาสติกกลับมารีไซเคิลได้มากเท่าไหร่ ก็จะเสียภาษีน้อยลงเท่านั้น
หรือหากใครสามารถรีไซเคิลได้มากกว่า 95% ของกำลังผลิตทั้งหมด จะได้รับการยกเว้นภาษีในฐานะบริษัทที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจก็เอื้อให้เกิดระบบการจัดการจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อนำไปสู่ทางออกอย่างเป็นรูปธรรม
เนื่องจากการรีไซเคิลต้องทำในทุกกระบวนการ ตั้งแต่ผู้ผลิตถึงผู้บริโภค ตัวอย่างง่ายๆ แต่ทำไม่ง่าย เช่น การแยกขยะ ที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่มักจะละเลย
นอร์เวย์แก้ปัญหาเรื่องนี้โดยชักจูงใจผู้คนให้นำขวดที่ใช้เสร็จแล้วมาทิ้งในจุดที่กำหนด โดยบังคับให้ผู้ซื้อสินค้าต้องจ่ายค่ามัดจำขวด และจะได้รับเงินคืน หลังจากนำขวดไปทิ้งยังจุดรับคืน โดยนำใบเสร็จที่ได้รับจากจุดรับคืนไปขอรับเงิน
ระบบดังกล่าว มีชื่อเรียกกันสั้นๆ ว่า PANT
ส่วนค่ามัดจำก็ไม่ได้มากมายนัก ขวดเครื่องดื่มขนาดครึ่งลิตร มีค่ามัดจำ 4 บาท ส่วนขนาดหนึ่งลิตรอยู่ที่ประมาณ 10 บาท
ขณะที่จุดรับคืนก็มีอยู่ทั่วประเทศ ทั้งในร้านค้า ปั้มน้ำมัน ย่านชุมชน ไม่ต่ำกว่า 15,000 จุด เพื่อสะดวกในการคืน
หากลืม หรือเผลอทิ้งไป ค่ามัดจำก็จะหักเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลภายใน 14 วันหลังจากสแกนบาร์โค้ดสินค้า (ถ้าทิ้งในที่สาธารณะ ก็ไม่ต้องกังวล เพราะจะมีคนอื่นเก็บขวดพลาสติกของคุณไปรับเงินมาใช้สบายๆ)
ตั้งแต่เริ่มนำระบบ PANT มาใช้ บริษัทผู้ผลิตและผู้นำเข้าขวดพลาสติกหลายราย ทั้งกลุ่มสินค้ารายเล็กและใหญ่ ต่างยินดีเข้าร่วม โดยสินค้าที่เข้าร่วมกับระบบนี้จะมีฉลากกำกับแจ้งให้ผู้ซื้อทราบ
นอกจากภาครัฐแล้ว กระบวนการทั้งหมดนี้ ใครอยู่เบื้องหลัง?
บริษัท Infinitum ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยความร่วมมือของกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่มและอุตสาหกรรมค้าปลีก คือผู้ดูแลและอยู่เบื้องหลังกระบวนการต่างๆ ทั้งระบบ
ตั้งแต่การเปิดรับลงทะเบียนสินค้าจากบริษัทผู้ผลิตและผู้นำเข้า จัดทำระบบสินค้าต่างๆ รวมทั้งระบบการคืนขวด ขนส่ง คัดแยก ไปจนถึงโรงงานรีไซเคิล ครบวงจร
นอกจากนี้ Infinitum ยังเป็นผู้กำหนดมาตรฐานสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์จะต้องใช้พลาสติกชนิดเดียวกันทั้งฝา ขวด ฉลาก รวมถึงกาวที่ติดผนึกฉลาก เพื่อให้ง่ายต่อการนำมารีไซเคิล
ขณะที่ฝั่งผู้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ซึ่งมีมาตรฐานผลิตแตกต่างกัน ก็จะใช้ระบบจัดเก็บอีกแบบเพื่อให้ง่ายต่อการคัดแยก และนำรีไซเคิล
นอกจากนี้ Infinitum ยังสื่อสารให้คนนอร์เวย์ตระหนักว่า การทิ้งขวดพลาสติกนั้นทำให้สูญเสียพลังงานมากขนาดไหน ผ่านการเปรียบเทียบว่า การผลิตขวดน้ำหนึ่งขวด ใช้พลังงานเทียบเท่ากับการใช้พลังงานของเครื่องยิงลูกเทนนิสนานกว่าชั่วโมง หรือเครื่องโกนหนวดไฟฟ้านานถึง 25 ชั่วโมง
ดังนั้น ถ้าเราทิ้งขวดไปเปล่าๆ ก็จะเท่ากับการสูญเสียพลังงานไปอย่างไร้ประโยชน์ ซ้ำยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตามมาอีกหลายขบวน
หรือแคมเปญที่บอกว่า การคืนขวดพลาสติก “เป็นเครื่องหมายของการทำดี” เพราะนี่คือการใส่ใจสิ่งแวดล้อม และคุณสามารถนำเงินมัดจำนั้นไปบริจาคให้องค์กรการกุศลต่างๆ ได้อีกด้วย
หลังจากเริ่มรีไซเคิลอย่างเป็นระบบมาแล้วหลายปี ปัจจุบัน นอร์เวย์สามารถรีไซเคิลขยะประเภทขวดพลาสติกได้ถึง 97% และกลายเป็นหมุดหมายที่หลายประเทศตั้งใจบินไปศึกษาดูงาน
ส่วนใครจะนำไปปฏิบัติได้สำเร็จหรือไม่ คงขึ้นอยู่กับว่าได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายมากน้อยแค่ไหน ตั้งแต่รัฐบาล ภาคธุรกิจ จนถึงประชาชน
อันที่จริง การรีไซเคิลอาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องทั้งหมดในการแก้ไขปัญหาขยะพลาสติก เมื่อนำไปเทียบกับประเด็นการลดละเลิก หรือลดการผลิตเป็น ‘ศูนย์’ เช่นที่ทั่วโลกกำลังพยายามยกเลิกพลาสติกบางประเภทกันอยู่ในขณะนี้
แต่ในวันที่โลกยังไม่มีนวัตกรรมการผลิตที่จะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ 100% มนุษยชาติยังคงจำเป็นต้องพึ่งพาพลาสติกในการดำรงชีวิตไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ดังนั้น ทางที่เลือกเดิน ก็ต้องเป็นทางที่สร้างความเสียหายต่อโลกให้น้อยที่สุด
และตอนนี้ทางดังกล่าว น่าจะอยู่ที่นอร์เวย์
อ้างอิง: