มนุษย์เป็น ‘ปุ๋ย’ ที่ดีไหม?

2 Min
739 Views
11 Sep 2020

นี่คือข้อถกเถียงที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการจัดการร่างนักบินอวกาศที่ตายนอกโลก โดยเฉพาะเงื่อนไขสำหรับภารกิจการสำรวจดาวอังคารว่าถ้าหากนักบินอวกาศตาย จะต้องทำอย่างไร หนึ่งในข้อเสนอคือ “เอาไปทำปุ๋ยซะ”

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเปล่าเพื่อนร่วมทีมอาจใช้ร่างของผู้เสียชีวิตเป็นปุ๋ยในการเพาะปลูกถ้าหากสามารถทำได้ แต่ข้อเสนอนี้ถูกโต้เถียงโดย Paul Wolpe นักชีวจริยธรรมจากมหาวิทยาลัยเพนซิเวเนีย ที่ปรึกษาขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (NASA) จากเหตุผลด้านจริยธรรมเป็นหลัก แต่อีกข้อที่เขาได้ระบุเป็นข้อโต้แย้งคือ “ศพมนุษย์ไม่ใช่ปุ๋ยที่ดีเท่าไร”

นี่จึงนำมาสู่คำถามข้างต้นว่า ความจริงแล้ว “มนุษย์เป็นปุ๋ยที่ดีไหม?”

ก่อนอื่นต้องมาดูปัจจัยที่ทำให้พืชเติบโตได้ นอกเหนือจากดิน น้ำ และแสงแดด ก็คือ ‘ฮิวมัส’ (Humas) หรืออินทรียวัตถุโครงสร้างสร้างสลับซับซ้อน ที่เกิดจากการย่อยสลายของซากพืช ซากสัตว์ที่เน่าเปื่อย

สรุปก็คือพืชต้องการสารที่เกิดจากการเน่าของซากถึงจะเป็นปุ๋ยที่ดี

ดังนั้นคำตอบก็คือมนุษย์เป็นปุ๋ยที่ดีพอๆ กับซากของสัตว์ใดๆ ที่ตาย เพียงแต่ว่าการจะเป็นปุ๋ยที่ดีได้ ร่างนั้นจะต้องผ่านกระบวนการเน่าเปื่อยจนกลายเป็นสารอินทรีย์ก่อน ไม่ใช่ตายแล้วเอาไปฝัง

แล้วเราจะต้องใช้เวลาในการเน่าเปื่อยนานแค่ไหน?

ประเด็นนี้ขึ้นอยู่กับชิ้นส่วนบนร่างกาย อวัยวะจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการย่อยสลายใน 24-72 ชั่วโมงหลังจากเสียชีวิต และใช้เวลาอีกราว 2 สัปดาห์ขึ้นไป ฟันและเล็บจึงจะเริ่มหลุดออกจากร่างกายหากอยู่ในที่โล่ง ซากมนุษย์จะใช้เวลาย่อยสลายเป็นเดือนๆ ส่วนการย่อยสลายไปถึงกระดูกนั้น ใช้เวลานานมาก ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมตรงนั้น

ตามปกติแล้ว ถ้าหากโครงกระดูกไม่ได้ถูกทำลายหรือขยับเขยื้อน จะใช้เวลาประมาณ 20 ปี (ในดินที่อุดมสมบูรณ์) เช่นเดียวกับสัตว์ชนิดอื่นๆ

ทั้งนี้ การใช้มนุษย์เพื่อปลูกต้นไม้ไม่ใช่ไอเดียที่เกิดขึ้นกับภารกิจนอกโลกเท่านั้น ปัจจุบันเริ่มมีไอเดียในการให้บริการ ‘เปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นปุ๋ย’ โดยกิจการนี้เพิ่งผ่านกฎหมายในรัฐวอร์ชิงตันเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ซึ่งบริษัทชื่อ Recompose จะเริ่มให้บริการในปี 2021 ในฐานะสถานรับทำศพในเมืองซีแอตเทิล โดยจะให้บริการเปลี่ยนซากศพของคุณเป็น “ปุ๋ยชั้นดี” เหมาะแก่การเพาะปลูก ด้วยกระบวนการย่อยสลายที่สมบูรณ์และพร้อมเป็นปุ๋ยภายใน 30 วัน

โดยจะมีดินปุ๋ยเกิดขึ้นราว 1 ลูกบาศก์เมตรต่อการย่อยสลายศพ 1 ร่าง และหากยังมีดินที่เหลือหลังจากมอบให้ญาติมิตรของผู้ตาย ทางบริษัทจะนำไปใช้ประโยชน์ในการอนุรักษ์ธรรมชาติต่อไป

นอกจากจะดีต่อพืชพรรณแล้ว การจัดการศพแบบนี้ยังใช้พลังงานน้อยกว่าพิธีเผาศพถึง 1 ใน 8 และช่วยลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 1 ตัน

สรุปแล้ว มนุษย์เป็นศพที่ดีเมื่อผ่านกระบวนการย่อยสลายกลายเป็นอินทรียสารซึ่งต้องผ่านกระบวนการและใช้เวลานานพอควร แต่ปัจจุบันก็มีเทคโนโลยีที่สามารถช่วยเร่งกระบวนการให้เร็วขึ้นได้ แต่การจะใช้ร่างมนุษย์เป็นปุ๋ยนั้นก็ยังมีการโต้เถียงเรื่องจริยธรรม รวมถึงต้องการความยินยอมทั้งจากผู้ตายและครอบครัวด้วยเช่นกัน

อ้างอิง: