5 Min

ปุ่น อภิลักษณ์ – เล่าเรื่องเมืองผ่านมุมมองของนักปั่นจักรยาน

“จักรยานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เรารู้สึกว่ามันเป็นยานพาหนะที่เป็นมิตรมากเลย” - บทสัมภาษณ์วิถีชีวิตมนุษย์จักรยานนาม ปุ่น อภิลักษณ์ วิวัฒนานนท์

5 Min
40 Views
01 Oct 2021

เมื่อพูดถึงจักรยาน บางคนอาจนึกไปถึงภาพรถสองล้อที่ต้องใช้แรงผู้ขับขี่ในการถีบเพื่อให้มันสามารถขับเคลื่อนไปตามเส้นทางได้อย่างที่ใจนึกคิด บางคนอาจนึกถึงยานพาหนะที่ช่วยลดมลพิษบนท้องถนน บางคนอาจนึกถึงยานพาหนะสมัยเด็ก แต่กลับบางคนเขานึกถึงยานพาหนะที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง ไม่ว่าหนทางที่ต้องการจะไปนั้นใกล้ ไกลเพียงใดก็ตาม

วิถีมนุษย์จักรยานของ ‘คุณปุ่น-อภิลักษณ์ วิวัฒนานนท์’ ได้เริ่มต้นอีกครั้งเมื่อราว ๆ ประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว จากการปั่นเพื่อออกกำลังกายสู่การร่วมทีมปั่นทางไกลที่ออกเดินทางไปในหลากหลายสถานที่ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ บุคคลที่ได้เรียนรู้วิถีชีวิตของผู้อื่นผ่านการเดินทางด้วยจักรยานหนึ่งคัน

เมื่อปุ่น เริ่มปั่น

 

“จักรยานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เรารู้สึกว่ามันเป็นยานพาหนะที่เป็นมิตรมากเลย”

นั่นเป็นคำพูดที่คุณปุ่นได้กล่าวกับเรา หลังจากที่เราเริ่มเกริ่นถามถึงชีวิตที่มีจักรยานเป็นพาหนะในการเดินทาง การเรียนรู้เส้นทาง วิถีชีวิตตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา

รถสองล้อ หนึ่งอานที่ต้องใช้แรงถีบถึงจะสามารถพาเราออกเดินทางไปได้อย่างที่ต้องการ อาจไม่ใช่คำตอบของใครหลายคน แต่กลับคุณปุ่น เขาได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการกลับมาปั่นจักรยานอีกครั้ง หลังจากที่เติบโตมากับเจ้ารถสองล้อคันนี้ตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก 

“เมื่อช่วงประมาณสิบปีที่แล้ว เราเล่นสเก็ตบอร์ดแล้วได้รับบาดเจ็บจนเข่าหลุด คุณหมอแนะนำให้ออกกำลังกายเบา ๆ ซึ่งมันน่าจะดีกับสุขภาพร่างกายของเรามากกว่า พอดีกับที่ช่วงนั้นเราอยากได้บิ๊กไบค์แต่แฟนเราเป็นห่วง เราเลยกลับมาปั่นจักรยาน ซึ่งมันทำให้เราได้เห็นอะไรเยอะขึ้นนะ ระหว่างที่เราปั่นในเส้นทางเดิม ๆ รู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง อยากปั่นไปดูนั่นดูนี่ เหมือนว่าเราเสพติดอารมณ์ในขณะนั้นไปแล้ว”

แม้ว่าจุดเริ่มต้นจะมาจากเรื่องของสุขภาพกาย แต่เมื่อได้ลองปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตโดยมีจักรยานมาข้องเกี่ยวมากขึ้น จากการปั่นเส้นทางแถวบ้าน จนเริ่มปั่นไปทำงาน คุณปุ่นเริ่มสัมผัสได้ว่าร่างกายไหวมากกว่าที่คิดจึงเริ่มปั่นไปต่างจังหวัดในช่วงวันหยุด ได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนกับสังคมคนปั่นจักรยานด้วยกัน จนทำให้ได้มีโอกาสเข้าร่วมทีมปั่นทางไกลของไทยที่ได้รับโอกาสไปปั่นที่ประเทศฝรั่งเศส

ไปไง มาไง

 

เรื่องราวของคุณปุ่นนักปั่นไม่ได้หยุดอยู่แค่หน้าปากซอยอีกต่อไป เมื่อเส้นทางที่ได้ไปเรียนรู้นั้นมีระยะทางไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ จากเส้นเดิมที่คุ้นตา เปลี่ยนเป็นเส้นทางใหม่ที่พร้อมไปผจญภัย ซึมซับวิถีชีวิตแตกต่างของผู้คนในแต่ละท้องถิ่น 

 

“คุณปุ่นชอบที่ไหนมากที่สุด”

เมื่อคุยกันมาได้สักพัก เราจึงเอ่ยถามขึ้นตามประสาของคนที่ไม่เคยปั่นจักรยานไปในพื้นที่ห่างไกลเกินกว่าละแวกบ้าน ซึ่งคนถูกถามใช้เวลาไม่นานในการให้คำตอบแก่เรา

“เราประทับใจทุกที่ที่เคยไป เพราะเรารู้สึกว่ามันดี ทุกที่ที่เคยแวะไปสามารถเอามาเล่าเรื่องให้กลายเป็นตำนานได้หมด ถ้าปั่นในบ้านเรา (ประเทศไทย) มันทำให้เราได้รู้แง่มุมของบ้านเรามากขึ้น ทั้งเรื่องของชีวิตความเป็นอยู่ ภาษาที่ใช้ในการพูดคุยสนทนา ความแตกต่างของแต่ละพื้นที่ซึ่งจะมีจุดกลมกลืนกันในสักที่หนึ่ง อาชีพของคนแต่ละท้องที่”

เรื่องเล่าการปั่นจักรยานในระยะทางไกลเกือบ 900 กิโลเมตรถูกถ่ายทอดให้เราได้รับรู้ เมื่อคุณปุ่นและทีมเริ่มปั่นจากจุดเริ่มต้น อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก จนถึงปลายทางที่สะหวันนะเขต จังหวัดนครพนม ชายแดนติดเขตประเทศลาว ซึ่งเป็นการปั่นจากซ้ายสุดไปยังขวาสุดของประเทศไทย

“เราเลือกเส้นทางนี้ เพราะมองว่ามันเป็นเส้นทางสำคัญของอาเซียน เหมือนเป็นการปั่นจักรยานเพื่อไปสำรวจเส้นทางเศรษฐกิจ ไปดูว่ามีอะไรสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้บ้าง ถ้าหากว่าเส้นทางนี้เปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์แบบเรียบร้อยแล้ว”

“ถ้าให้เล่าถึงเรื่องราวระหว่างเส้นทางที่เราประทับใจในพื้นที่ต่างจังหวัด เรานึกถึงร้านขายของชำร้านหนึ่งในจังหวะสระบุรี ตอนนั้นเราแวะซื้อน้ำเปล่าจากร้านค้าริมทาง พอคุณป้าเจ้าของร้านเขาเห็นเราปั่นจักรยานมา เขาก็ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ชวนเราพูดคุยว่าไปไงมาไง เห็นได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใย จนขั้นชวนเราให้พักที่บ้านเขาเลยนะ แต่ว่าเราปฏิเสธไป เราเลยรู้สึกว่าจักรยานมันเป็นมิตรมาก ๆ เหมือนมันช่วยลดช่องว่างระหว่างคนแปลกหน้าที่บังเอิญมาเจอกัน”

นอกจากเรื่องราวดี ๆ ของผู้คนในประเทศไทยแล้ว คุณปุ่นยังเล่าถึงต่างจังหวัดในประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งในขณะที่ปั่นได้ประสบปัญหานั่นคือเสบียงที่เตรียมมาไม่เพียงพอ แต่ก็ยังเลือกที่จะปั่นไปข้างหน้าโดยมีความหวังว่าจะเจอร้านค้าริมทางสักร้านหนึ่ง จนเมื่อมาพบกับบ้านที่มีลักษณะคล้ายร้านค้า จึงเข้าไปพูดคุยสอบถาม คิดไว้ว่าจะเข้าไปขอซื้ออาหาร แต่ต้องพบว่าที่นั่นไม่ใช่ร้านค้าแต่เป็นเพียงบ้านคน

“เราพูดเกาหลีไม่คล่อง เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ สุดท้ายก็เลยใช้กูเกิ้ลทรานสเลทคุยกัน สุดท้ายเขาเอาส้มกับขนมช็อกโกพายมาให้เรา” 

การมองโลกหลังจากที่ปั่นทางไกล ทำให้มองโลกเป็นระนาบ ประทับใจในความมองคนเป็นคน ไม่เกิดคำถามว่ารถราคาเท่าไร? เจ้าของเป็นคนมีฐานะไหม? คุณปุ่นบอกว่าสิ่งเหล่านี้คือเสน่ห์ของจักรยาน เพราะมันทำให้เรามองโลกเรียบง่ายมากขึ้น เหมือนเป็นจุดเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่ทำให้เราใช้ชีวิตง่ายขึ้น

เมื่อพูดคุยกันถึงเรื่องที่ประทับใจ เราจึงลองถามถึงปัญหา โดยคุณปุ่นกล่าวว่าปัญหามีในทุกการเดินทาง อยู่ที่ว่าจะโฟกัสว่ามันเป็นปัญหาหรือเปล่า? แม้ว่าการปั่นจักรยานจะเป็นการใช้ชีวิตเรียบง่าย แต่เมื่อพบเจอกับปัญหากลับต้องตัดสินใจให้ไวที่สุดเพื่อที่จะไปต่อ ปัญหาส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องของความรู้สึก เช่น รู้สึกร้อน พอได้นั่งพักแล้วก็อยากพักไปนาน ๆ แต่ถ้าหากเราตัดสินใจพัก หรือเลิกปั่น สุดท้ายเราก็จะย้อนกลับมาเสียดายว่าทำไมไม่ปั่นต่อ ทั้งที่เราตั้งใจจะมาปั่นจักรยานอยู่แล้ว ก็ต้องปั่นต่อไปจนถึงจุดหมายที่เราตั้งเป้าเอาไว้

เมียงมอง มุมเมือง

 

“จักรยานคือพาหนะอย่างหนึ่ง ซึ่งอยู่บนถนนเหมือนกัน”

 

ประโยคจากคุณปุ่นที่เราจำได้ขึ้นใจ เมื่อสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการปั่นจักรยานในกรุงเทพฯ เมืองที่เต็มไปด้วยรถราสัญจรไปมา แต่กลับมีสัดส่วนของจักรยานบางตา ซึ่งส่วนหนึ่งอาจมาจากการที่คนไทยไม่คุ้นชินกับการเดินทางด้วยพาหนะประเภทนี้มากนัก

“การปั่นจักรยานในกรุงเทพฯ เรามองว่ามันอันตราย อาจเพราะว่าคนอื่นไม่มองว่าจักรยานเป็น 1 ในยานพาหนะ เราจึงอยากให้ผู้คนที่ใช้รถใช้ถนนมี Mindset ว่าจักรยานคือคือพาหนะอย่างหนึ่ง แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น”

“จักรยานไม่มีสัญญาณ สิ่งที่สำคัญมาก ๆ สำหรับการปั่นในเมืองคือการที่เราต้องทำให้รถรอบข้างรู้ว่าเรากำลังจะทำอะไร ไปทิศทางไหน การปั่นจักรยานมันต้องมีความรอบคอบ คิดถึงใจเขาใจเราให้มาก”

กรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่มีตรอก ซอยเล็ก ๆ ค่อนข้างมาก ซึ่งจักรยานสามารถพาเราไปยังสถานที่เหล่านั้นได้ ช่วยให้เราสามารถจัดการเวลาได้ ไม่ต้องเสียเวลาอยู่บนรถในขณะที่รถติด ข้อดีอีกข้อของการปั่นจักรยานในกรุงเทพฯ คือเรื่องที่จอดรถ ในส่วนของข้อเสียเป็นเรื่องของมลพิษ อากาศร้อน ผู้คนที่สัญจรไปมาไม่ค่อยเข้าใจวิถีมนุษย์จักรยาน และการขนส่งสาธารณะที่ไม่ได้ออกแบบมาให้มีการเชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบ

เรากับคุณปุ่นมีบทสนทนาสั้น ๆ เกี่ยวกับประเด็นการสัญจรด้วยจักรยานภายในกรุงเทพฯ เมืองที่ดูไม่เอื้อต่อนักปั่นมากนัก เราจึงสอบถามถึงความคิดเห็นในเรื่องของการบริหารจัดการเกี่ยวกับจักรยานในกรุงเทพฯ คุณปุ่นจึงบอกกับเราว่า

“จากที่เราปั่นมา เราคิดว่าไม่มีอะไรเอื้ออำนวยตั้งแต่แรก ชีวิตมันคือการบริหารความไม่พร้อม ก็เลยเลือกเริ่มต้นที่ตนเอง”

เมื่อมนุษย์จักรยานมีตัวตนมากยิ่งขึ้น เราก็จะถูกมองเห็น เราจึงต้องทำให้คนอื่นมองเห็นว่ามันมีคนปั่นจักรยานในกรุงเทพฯ อยู่จริง ๆ

 

“ออกไปปั่นให้เห็นว่ามีคนปั่น”

ขอบคุณภาพจาก คุณปุ่น-อภิลักษณ์ วิวัฒนานนท์

เขียนและเรียบเรียงโดย : ประภาวลี เทพพิทักษ์