โดยทั่วไปเราฟังเพลงเพลิน ๆ เราก็เพลินไป อาจไม่สงสัยอะไรนัก แต่ถ้าเป็นคนช่างสงสัย หลาย ๆ คนคงอาจตั้งคำถามว่าทำไมเพลงทั่ว ๆ ไปที่เราฟัง ๆ มันถึงมีโครงสร้างคล้าย ๆ กัน (มีอินโทร ท่อนร้อง ท่อนฮุค กลับไปท่อนร้อง ท่อนฮุคอีกรอบ ท่อนแยก แล้วจบด้วยฮุค เป็นต้น) และมีความยาวใกล้ ๆ กันหมดเลย คือยาวระหว่าง 3 – 4 นาที
ถ้าเป็นในทางจิตวิทยา เขาก็จะมีคำอธิบายทำนองว่าโครงสร้างแบบนี้มันทำให้เพลง “ฟังง่าย” และ “ติดหู” ที่สุด เพลงมันเลยเป็นแบบนี้ และเขาก็จะมีทฤษฎีจิตวิทยาอธิบายอะไรกันไป
แต่ถ้ากลับไปดูในประวัติศาสตร์ เพลงแบบดั้งเดิมที่มนุษย์ฟังและร้องเล่นกันในอดีตเป็นร้อยปีก่อน ไม่ว่าจะเป็นเพลงพื้นบ้าน หรือเพลงคลาสสิกต่าง ๆ มันก็ไม่ได้มีลักษณะแบบนี้ คือเพลงสั้น ๆ มันมีก็จริง แต่เพลงทั่ว ๆ ไปมันยาวยืดกว่านี้กันทั้งนั้น และอาจไม่ใช่แค่ยาวสิบนาที แต่ยาวเป็นหลายชั่วโมงยังไม่แปลกเลย
ดังนั้นถ้าจะใช้หลักจิตวิทยาอธิบายว่าทำไมมนุษย์ถึงชอบฟังเพลงสั้น ๆ กันทุกวันนี้ ก็คงจะต้องหาหลักจิตวิทยามาอธิบายด้วยว่าทำไมในอดีต มนุษย์ถึงชอบฟังเพลงยาว ๆ กันล่ะ?
แต่ถ้าเราจะถามอีกแบบให้สอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์แล้ว คำถามคงเป็นว่า ณ จุดไหนของประวัติศาสตร์ที่บทเพลงของมนุษย์หดสั้นลงเหลือเพียง 3-5 นาทีแบบเป็นที่อยู่ในปัจจุบันเป็นมาตรฐาน?
คำตอบที่สั้นที่สุดก็คือ เพราะมันเป็นไปตามขีดจำกัดของเทคโนโลยีบันทึกเสียงในช่วงแรกที่อุตสาหกรรมบันทึกเสียงเกิดเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว
อันนี้เราต้องเข้าใจก่อนว่า ถ้าย้อนไปก่อนร้อยกว่าปีที่แล้ว เวลามนุษย์ “ฟังเพลง” เขาต้องฟังจากนักดนตรีเล่นสด ๆ ไม่ว่าจะเล่นที่ไหน มันยังไม่มี mp3 ซีดี เทป แผ่นเสียง หรือกระทั่งวิทยุ
เทคโนโลยีบันทึกเสียงทำได้ครั้งแรกในโลกปลายศตวรรษที่ 19 และเริ่มออกสู่ท้องตลาดในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งยุคแรกก็คือยุคของแผ่นเสียง
ซึ่งก็คงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมาก เทคโนโลยีเกิดใหม่ มันมีราคาแพงสุด ๆ อยู่แล้ว เป็นแบบนี้ทุกยุค และยุคแรกของแผ่นเสียงสำหรับผู้บริโภคทั่วไปเช่นกัน มันแพง
ของแพงคนทั่ว ๆ ไปก็ย่อมไม่มีปัญญาซื้อ ทางผู้ผลิตก็ดูจะมีหน้าที่จะปรับแต่งให้มันออกมาราคาถูกที่สุดเพื่อให้คนทั่วไปจับต้องได้ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่คำถามว่า “เทคโนโลยียุคนี้ทำอะไรได้?” มากกว่าเป็นเรื่องของ “จะทำยังไงให้เทคโนโลยีมันถูกที่สุดระดับคนทั่ว ๆ ไปก็ซื้อมาใช้ได้?”
ประเด็นนี้สำคัญ เพราะในทางทฤษฎี แผ่นเสียง มันจะอัดดนตรีเข้าไปเยอะและยาวแค่ไหนก็ได้ แต่แผ่นก็ต้องขยายตาม และราคามันก็จะสูงขึ้นระดับที่คงมีผู้บริโภคน้อยคนที่สู้ราคาไหว ดังนั้นทางเหล่าค่ายเพลงก็จะต้องหาจุดสมดุลที่จะใส่เพลงเข้าไปให้เยอะที่สุด ให้คนฟังได้ แต่ราคาคนก็ต้องสู้ไหวด้วย
ยุคแรก ๆ ก็มีคนลองทำแผ่นเสียงหลายแบบ ทำแผ่นใหญ่ ๆ เพลงยาว ๆ มาก็เยอะ แต่ก็แพงอีก สุดท้ายมันก็เลยมาลงตัวที่แผ่นขนาด 10 นิ้ว ที่หมุน 78 รอบต่อนาที เพราะเป็นขนาดที่ทำมาขายแล้วคนรับกับราคาได้มากที่สุด โดยแผ่นขนาดนี้ก็เป็นแผ่นขนาดมาตรฐานแล้วในอุตสาหกรรมบันทึกเสียงยุคดนตรี Jazz เบ่งบานช่วง 1920’s
ซึ่งถ้าอธิบายง่าย ๆ แผ่นขนาดนี้ มันจะจุดดนตรีได้สองด้าน ด้านละราว ๆ 3 นาที ดังนั้นในทางปฏิบัติ ถ้าเพลงมันมันต้องฟังให้จบในด้านเดียว เพลงมันต้องยาวราว ๆ 3 นาที ซึ่งแม้ว่าเทคโนโลยีจะพัฒนาไปในช่วงหลายสิบปี แต่รูปแบบสินค้าหลักของอุตสาหกรรมดนตรีมันก็ไม่ได้ต่างไปเท่าไร เพราะมันคือแผ่นเสียงแบบ 10 นิ้ว ที่บรรจุเพลงสองด้าน โดยเพลงยาวด้านละ 3-4 นาที
และนี่แหละครับเหตุผลว่าทำไม “เพลงป็อป” มันถึงยาว 3-5 นาที
คือยุคแรกที่มนุษย์รู้จัก “เพลงป็อป” ในแง่ของเพลงติดหูที่อุตสาหกรรมบันทึกเสียงทำมาขาย มันถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขทางเทคโนโลยี และเศรษฐกิจว่า จะเอาเพลงอะไรมาอัดขายก็ตาม ต้องอัดลงแผ่นเสียงขนาด 10 นิ้ว ที่หมุน 78 รอบต่อนาที ซึ่งนั่นหมายความกว่าเพลงที่จะอัดขายได้ต้องจบในเวลาราว ๆ 3 นาที ไม่ว่าเพลงดั้งเดิมจะเล่นจริง ๆ กันยาวขนาดไหน
นี่ทำให้ “เพลงป็อปยุคแรก” ซึ่งเป็นยุคของ Swing Jazz ครองเมือง (ทุกวันนี้เรียกเพลงยุคนี้ที่ดังและคนเล่นบ่อย ๆ ว่า Standard Jazz) มันยาวกันราว ๆ 3 นาทีทั้งนั้น และก็มีโครงสร้างพื้น ๆ แบบวนไปมาดังที่เราเห็นในเพลงป็อปยุคปัจจุบัน
ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเพลง Jazz ในยุคนั้นจะเล่นกันจริง ๆ สั้น ๆ แค่ 3 นาที บันทึกยุคนั้นจำนวนมากก็ชี้ว่าเล่นกันจริง ๆ ยาวเป็นสิบนาทีเท่านั้น มีท่อนอิมโพรไวซ์อะไรเต็มไปหมด เพียงแต่ด้วยเงื่อนไขของอุตสาหกรรมบันทึกเสียง เพลงเวลาอัดขายมันยาวขนาดนั้นไม่ได้ มันต้องจบใน 3 นาที เพลงยุคแรก ๆ มันก็เลยเป็นการเอาเพลงยาว ๆ มาย่อให้สั้นลง แต่ต่อมา เมื่ออุตสาหกรรมดนตรีขยายตัวขึ้น นักแต่งเพลงและนักดนตรีก็เริ่มปรับตัว สร้างบทเพลงที่จะเริ่มและจบอย่างลงตัวในเวลา 3-4 นาทีแทนที่จะเอาเพลงที่เล่นกันยาว ๆ มาตัดให้สั้น และในที่สุด จากที่บทเพลงสั้น ๆ ยาว 3-4 นาทีแบบนี้ไม่เคยเป็น “มาตรฐาน” มาก่อนในสารบบดนตรีของมนุษย์ มันก็กลายมาเป็นมาตรฐานในที่สุด
และเชื่อมั้ยครับ มนุษยชาติฟังดนตรีในรูปแบบนี้เป็นหลักยาวนานมาจนถึงปี 1948 ซึ่งเกิดเทคโนโลยีใหม่ในตลาดซึ่งก็คือแผ่น LP ที่หมุนช้ากว่าแผ่นเสียงดั้งเดิมครึ่งหนึ่ง (หมุน 33 รอบครึ่งต่อนาที) และนิยมจะทำมาขายแผ่นใหญ่กว่าที่ 12 นิ้ว ทำให้ด้านหนึ่งของแผ่นเสียงจุเพลงได้ถึงราว 22 นาที
แต่ตอนนั้นมนุษย์ก็ชินกับเพลงสั้น ๆ กันหมดแล้วครับ คือฟังเพลงสั้น ๆ กันมาชินหลายสิบปี จะให้ฟังเพลงยาว ๆ มันรู้สึกแปลก ๆ ไปแล้ว รูปแบบว่า “เพลงป็อป” จะต้องยาวราว ๆ 3 นาทีก็เลยยังติดมา การที่แผ่นเสียงที่ขายในตลาดมีเนื้อที่บรรจุดนตรีมากขึ้นจากแค่ 3-4 นาทีเป็น 20 กว่านาที มันไม่ได้ทำให้เพลงส่วนใหญ่ยาวขึ้นเป็น 20 นาที แต่มันทำให้ด้านหนึ่ง ๆ ของแผ่น LP มันบรรจุเพลงสั้น ๆ 3-4 นาทีใส่กันเข้าไป 5-6 เพลงมากกว่า และพอรวมกันสองด้าน ทั้งแผ่น LP ก็จะมีเพลงรวมกันประมาณ 10-12 เพลง ซึ่งนี่ก็คือต้นกำเนิดของรูปแบบการออกเพลงเป็น “อัลบั้ม” ที่เราน่าจะคุ้นกันตั้งแต่เด็ก และเป็นเหตุผลด้วยว่าทำไมอัลบั้มส่วนใหญ่มันจะยาวรวมกันราว ๆ 40 นาที เพราะแผ่น LP มันบรรจุได้แค่นั้น โดยรูปแบบ “อัลบั้ม” มาตรฐานนี่ก็ยาวมาถึงยุคของ CD ที่เอาจริง ๆ อัดเพลงเข้าไป 80-90 นาทียังได้เลย แต่ก็คงแทบไม่มี “อัลบั้ม” ใดในยุครุ่งเรืองของ CD ที่ยาวเกิน 50 นาที
พูดง่าย ๆ คำตอบทั้งหมดว่าทำไมเพลงป็อปถึงยาว 3-4 นาที ทำไมอัลบั้มถึงยาว 30-40 นาที มันมีพื้นฐานมาจากขีดจำกัดของเทคโนโลยีตลอดครึ่งแรกศตวรรษที่ 20 ทั้งนั้นเลย เพราะยุคนั้น “ภาชนะ” ที่จะอัดเพลงขายได้ มันอัดได้แค่ 3-4 นาที เพลงมันก็เลยต้องยาวแค่นั้น ทั้งที่จริง ๆ เพลงแบบทั่ว ๆ ไปที่เล่นสดที่มีมาก่อนยุคนั้นก็ยาวกว่านั้นทั้งนั้น ซึ่งต่อ ๆ มาเมื่อนักดนตรี และนักแต่งเพลงเริ่มชินกับข้อจำกัด บทเพลงมันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนจากบทดนตรีที่แต่งมาเพื่อเล่นสดยาว ๆ มาเป็นบทเพลงที่จะต้องเสร็จสิ้นลงตัวที่สุดในเวลา 3-4 นาที และมันก็คือรูปแบบพื้นฐานของเพลงป็อปแบบที่เรารู้จักกันทุกวันนี้นั่นเอง