ทำไมกลุ่มแฟน K-POP ถึงมักมีบทบาท ‘ขับเคลื่อนทางการเมือง’ และศิลปินที่ไม่ Speak Up จะต้องถูกแบน ?

4 Min
1280 Views
18 Oct 2020

ในช่วงที่กระแสการเมืองไทยเริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ กระแสทำนอง #แบนไอดอลคนไทยในเกาหลี #แทกุกไลน์คอลเอ้าท์ ก็ผลัดขึ้นเทรนด์บนทวิตเตอร์อยู่บ่อยครั้ง แม้จะมีบางช่วงที่ไม่ค่อยได้เห็นแล้ว แต่เรื่องนี้ยังคงถูกยกขึ้นมาพูดเรื่อยๆ กระทั่ง #แบนแทกุกไลน์ ก็ได้กลับมาบนทวิตเตอร์ จากประเด็นทางการเมืองล่าสุด แน่นอนว่านี่เป็นประเด็นที่แฟน K-POP ให้ความสนใจอย่างมาก พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นกันอย่างร้อนระอุ

ต้นเหตุมาจากชาวทวิตเตอร์ไทยเรียกร้องให้คนไทยที่ไปเป็นศิลปินที่เกาหลี (รวมถึงศิลปินที่เคยมีผลงานที่เกาหลีและกลับมาเมืองไทย) ออกมาเป็นกระบอกเสียงขับเคลื่อนการเมืองไทยในช่องทางออนไลน์

ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้มีศิลปินคนใดตอบรับข้อเรียกร้องนี้ และแฟน K-POP หลายคนก็เลิกติดตามศิลปินคนนั้นด้วยความผิดหวัง

ประเด็นนี้แสดงให้เห็นว่า กลุ่มแฟน K-POP ไม่ได้สนใจแค่ K-POP เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีความสนใจด้านอื่นๆ และหนึ่งในนั้นคือเรื่อง ‘การเมือง’

1.

จุดเด่นของเหล่าแฟน K-POP อยู่ที่ความเป็นคอมมูนิตี้ และความสามารถในการสร้างเทรนด์ จนเกิดเป็นไวรัล ซึ่งเป็นสิ่งที่คนกลุ่มนี้ทำเพื่อศิลปินอยู่แล้ว

เมื่อความสามารถนี้ถูกนำไปใช้ในเรื่องการเมือง แน่นอนว่า โลกการเมืองก็กลายเป็นความป๊อปและกระแสในโลกออนไลน์

#แบนไอดอลคนไทยในเกาหลี ไม่ใช่ปรากฎการณ์ครั้งแรกที่เหล่าแฟน K-POP ออกมามีบทบาทในการขับเคลื่อนทางการเมือง ก่อนหน้านี้ก็มีเหตุการณ์ประท้วง โดนัลด์ ทรัมป์ โดยแฟน K-POP ชาวอเมริกา แกล้งกดบัตรเข้าชุมนุมหาเสียงของทรัมป์ แต่ไม่ไปร่วมงาน จนสนามกีฬา BOK Center สถานที่จัดงานที่บรรจุคนได้กว่า 19,200 คน มีที่นั่งว่างเกินครึ่ง และกิจกรรมชุมนุมกลางแจ้งก็เป็นอันต้องยกเลิกไป

หรือเหตุการณ์ Black Lives Matter ที่แฟน K-POP ออกมาช่วยกันปั่น #BlackLivesMatter ในทวิตเตอร์จนกลายเป็นเทรนด์ระดับโลก เพื่อกระจายข่าวสาร และร่วมมือกันสแปมแฮชแท็กเหยียดผิว หรือข้อมูลอันเป็นเท็จ เพื่อป้องกันการเผยแพร่ความเข้าใจผิดๆ ที่อาจสุมความเกลียดชังให้มากขึ้น

2.

ปัจจุบันนี้ เมื่อค่านิยมของกลุ่มแฟน K-POP เช่น BTS, Stray Kids, Monsta X, Loona ที่นอกจากจะสนับสนุนผลงานแล้ว ยังเริ่มมุ่งไปที่การบริจาค และรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชนมากขึ้นในนามของศิลปินที่พวกเขาสนับสนุน เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคมอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้น หากมองการเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นคลื่นที่กระเพื่อมจากกระแสดังกล่าว สิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ ดังนั้นเหตุการณ์เหล่านี้จึงยิ่งช่วยเพิ่มค่านิยมใน ‘การขับเคลื่อนสังคม’ ของเหล่าแฟนคลับมากขึ้น

แล้วมันเกี่ยวกับประเด็นการแบนศิลปินไทยในตอนแรกอย่างไร

3.

อาจจะต้องย้อนไปสักนิดก่อนว่าบริษัทบันเทิงเกาหลีมักควบคุมภาพลักษณ์ของศิลปิน K-POP รุ่นเยาว์อย่างเข้มงวด เพื่อที่จะสามารถปรากฏตัวทางสื่อได้หลากหลายและอาจมีข้อตกลงเชิงพันธมิตรกับแบรนด์ต่างๆ มากมาย หรือก็คือต้องการให้ศิลปิน K-POP มีช่องทางทางการค้าในวงกว้าง โดยมีภาพลักษณ์ที่อ่อนน้อมถ่อมตน เชื่อฟัง มีระเบียบวินัย รวมถึงแสดงออกถึงการทำงานอย่างหนัก ซึ่งจุดนี้มักทำให้ได้รับคำชมจากเหล่าแฟนคลับและประชาชน ทั้งหมดทั้งมวลนี้ อาจจะเป็นเหตุผลที่บริษัทในอุตสาหกรรม K-POP มักจะหลีกเลี่ยงปัญหาทางการเมืองและสังคม เพราะเกรงว่าจะมีผลเสียต่อธุรกิจ

แต่ความเป็นที่นิยมในนานาชาติของ K-POP นั้นทำให้เกิดความต้องการที่หลากหลายจากเหล่าแฟนคลับ รวมถึงเรื่องที่อยากให้เหล่าศิลปินมีความเห็นใจกับเหตุการณ์ในท้องถิ่น และหยุดลดทอนเรื่องนั้นๆ ด้วยการบอกว่า ‘เป็นกลาง’ หรือ ‘ไม่สนใจ’

ยิ่งมีประเด็นเหตุการณ์ที่ชาวเกาหลีประมาณล้านคนลงถนนอย่างสงบ เพื่อประท้วงให้มีการฟ้องร้องอดีตประธานาธิบดีปาร์คกึนเฮจากเหตุคอร์รัปชันในปี 2559 โดยมีบุคคลที่ร่วมการประท้วงนั้นมีทั้งนักแสดง ศิลปิน หรือคนดังหลายคน (แม้จะมีการคาดเดาว่าข้อตกลงของแต่ละบุคคลต่อบริษัทนั้นคงแตกต่างกันไป) ที่เหล่าแฟนคลับที่ ‘ต้องการ’ ให้ศิลปิน ออกมา Speak Up เพื่อเป็น ‘อาวุธ’ ช่วยทวงความยุติธรรมในสังคม ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างบ่อยครั้ง

4.

เพื่อโต้ตอบฝั่งที่ ‘ไม่เห็นด้วย’ กับ ‘การกดดัน’ ให้ศิลปินออกมาพูด และกลุ่มแฟนฝั่งนี้จะอธิบายถึงเหตุผลของการนิ่งเฉยเหล่านั้น เช่น กฎของค่ายที่ห้ามแสดงออกทางการเมือง เป็นต้น ทั้งยังมีผู้มีชื่อเสียงออกมาซัพพอร์ตความเห็นนี้อย่าง สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระ แสดงความเห็นทางเฟซบุ๊กของตนว่า “ไม่อยากเห็นดารา นักร้อง คนดังคนไหนถูกระรานหรือประณามเพียงเพราะไม่แสดงจุดยืน อยากให้เคารพสิทธิ์ในการไม่พูด เท่าๆ กับการที่เราเคารพสิทธิ์ในการพูด”

ซึ่งการปะทะทางความคิดของทั้งสองฝ่ายนี่แหละ ทำให้เกิด #แบนไอดอลคนไทยในเกาหลี #แทกุกไลน์คอลเอ้าท์ หรือ #แบนแทกุกไลน์ ทำนองนี้ขึ้น

ปรากฏการณ์เหล่านี้ ตอกย้ำว่า ค่านิยมของเหล่าแฟน K-POP ได้เปลี่ยนไปแล้วและมีความต้องการที่จะผลักดันอุตสาหกรรม K-POP ให้กลายเป็นเรื่องการเมืองมากขึ้น ยิ่งเมื่อ K-POP มีเป้าหมายที่จะอยู่ใน ‘ระดับโลก’

5.

อย่างไรก็ตาม แม้เหล่าแฟน K-POP จะเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่มีพลังในการขับเคลื่อนทางการเมืองอย่างมาก แต่พวกเขา (บางส่วน) ก็เข้าใจดีว่าการกระทำเหล่านี้ไม่อาจสะท้อนตัวตนของศิลปินที่ตนรักได้ แม้จะมีความคาดหวังให้ศิลปินเป็น ‘กระบอกเสียง’ ที่ช่วยให้การเรียกร้องของพวกเขา ‘ดังขึ้น’

ที่สุดแล้วเมื่อโลกเปลี่ยนไป การเป็นศิลปินไอดอลในสมัยนี้ แค่เรื่องของหน้าตาและความสามารถนั้นอาจจะไม่เพียงพอ จึงเกิดเป็นคำถามที่ว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น

ศิลปินไอดอลควรทำตัวอย่างไรกับความหวังของแฟนคลับ ?

แล้วคุณล่ะ คิดอย่างไร ?

อ้างอิง:

  • BrandThink. CANDYโดนัลด์ ทรัมป์โดนแกง! หลังแฟน K-POP และชาว TikTok แกล้งกดบัตรเข้าชุมนุมหาเสียงทรัมป์ แต่ไม่ไปร่วมงาน. https://bit.ly/2ZGWyjE
  • TIME. How K-Pop Fans Actually Work as a Force for Political Activism in 2020. https://bit.ly/35FUvQu
  • Rethinking the K-pop industry’s silence during the Black Lives Matter movement. https://bit.ly/3djahCV
  • THAI PBS.ชาวเกาหลีใต้นับแสนประท้วงครั้งใหญ่ในรอบ 30 ปี ขับไล่ “ปาร์ค กึน เฮ” พ้น ปธน. https://bit.ly/33NQAjc
  • Facebook.https://bit.ly/2GTUnCG