“ทำไมเราถึงเกิดมาไม่เหมือนคนอื่น ? ทำไมคนอื่นถึงมองว่าเราเป็นตัวประหลาด ? ทำไมเราถึงโดนเพื่อนแกล้ง ? บางครั้งชีวิตก็มีความสุข แต่บางครั้งมันก็เหมือนกับเราอยู่ในโลกของความฝัน ซึ่งมันก็ดูคล้ายกับฝันร้าย โลกที่แท้จริงของพวกเราอยู่ไหน ทำไมพวกเราถึงรู้สึกว่านี้ไม่ใช่โลกของพวกเรา ? แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามพระเจ้าได้กำหนดในสิ่งที่พวกเราเป็นแล้ว ไม่ว่าเราจะเกิดมาเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ แต่สุดท้ายแล้วมันมักจะมีจุดประสงค์ของมันเสมอ นี้คือสิ่งที่เราต้องหาคำตอบว่าเราเกิดเป็นแบบนี้เพื่ออะไร ?”
ข้อความข้างต้นนั้นเป็นสิ่งที่นักเรียนวัยรุ่นชายคนหนึ่งที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้คิดกับตัวเองในขณะนั้น
ตั้งแต่ในวัยเด็กได้มีเด็กชายคนหนึ่งที่เกิดมาแล้วใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง แต่เขาดันเกิดมาไม่เหมือนเด็กคนอื่นซักเท่าไหร่นัก เพราะสิ่งที่คนอื่นเห็นก็คือเขาสนใจแค่เรื่องบางเรื่องที่เด็กวัยเดียวกันไม่สนใจ คุยไม่ค่อยรู้เรื่อง เล่นกับเพื่อนไม่เป็น ชอบอยู่คนเดียว เวลาไปไหนมาไหนก็ดูแปลกๆ มึนๆ เมื่อถึงวัยเข้าโรงเรียนก็มีเพื่อนดีๆ หลายคน แต่เพื่อนไม่ดีก็มีไม่น้อย เพื่อนๆ ต่างมองและตีความว่าเขาเป็นคนที่นิสัยไร้มารยาท ดูมึนๆ เป็นตัวตลก พูดจาไม่เข้าหู ปากไม่ดีและกวนตีน ตรงเกินไป ถูกหลอก ถูกปั่นหัวง่าย ชอบอยู่คนเดียวมากกว่าอยู่กับเพื่อน จนเพื่อนเข้าใจว่าเขาอาจรังเกลียดตน บุคลิกดูจะเป็นเป็นคนติ๋มๆ
และคำพูดที่เขามักจะโดนด่าประจำก็คือคำว่า “ไอ้เอ๋อ” ซึ่งแน่นอนว่าผลสุดท้ายหนีไม่ผลเรื่องของการถูกเพื่อนวัยเดียวกันแกล้ง (Bullying) และโดนดูถูกจากคนทั่วๆ ไปในสังคม หลายคนเฝ้าถามหาความเท่าเทียมในความเป็นมนุษย์ หลายคนบอกว่าเราเกิดมาเป็นคนเหมือนกัน แต่สิ่งที่เพื่อนละคนทั่วไปปฏิบัติกับเขานั้นช่างไร้ความเท่าเทียมของความเป็นมนุษย์เหลือเกิน ใครเก่ง บุคลิกดี มีความโดดเด่น ก็จะโดนยกย่องดั่งเทพเจ้า แต่กับคนที่แปลกแยกกลับโดนดูถูก กดขี่ มองว่าคุณค่าต่ำกว่าตน ซึ่งถ้าพูดกันตามตรงสังคมของเด็กและวัยรุ่นไม่ว่าจะเป็นระดับ หมู่บ้าน โรงเรียน ชุมชน ก็ถือว่าเป็นแบบแผนจำลองสังคมจริงในอนาคตในอีกไม่ไกลเมื่อพวกเขาโตไปนั้นเอง
เด็กชายคนนี้ไม่ใช่ใครไหนอื่นนั้นก็คือตัวผู้เขียนเอง พฤติกรรมที่เกิดขึ้นนั้นผู้เขียนถูกวินิจฉัยว่าเป็นภาวะโรค Asperger syndrome ซึ่งในประเทศไทยถือว่าเป็นกลุ่มคนพิการประเภทหนึ่งในกลุ่มของออทิสติก เท่ากับว่าสิ่งที่เราถูกกระทำนั้นก็เหมือนกับว่าผู้พิการดูด้อยค่ากว่าคนทั่วๆ ไป แต่ถึงแม้ตัวผมไม่เคยบอกใครว่าเป็นภาวะโรคนี้จนเรียนจบปริญญาตรีก็ตาม ก็ยังจะโดนมองและตัดสินในทางด้านที่ไม่ดีเนื่องจากพฤติกรรมของเราที่แสดงออก แล้วนับภาษาอะไรกับการที่ไปบอกคนอื่นว่าเป็นภาวะโรคนี้ซึ่งถ้าบอกไปมีโอกาสสูงที่จะมอง โดนตีตรา แบ่งแยก ในทางด้านที่ไม่ดี
นี้หรือคือสิ่งที่ “มนุษย์” ควรได้รับจาก “มนุษย์ ชาติพันธุ์เดียวกัน คำว่า “มนุษย์” มาจากคำว่า “มนะ” แปลว่า ใจ และ “อุษย” แปลว่า สูง ดังนั้น “มนุษย์” จึงแปลว่าสิ่งมีชีวิตที่ใจสูง แต่สิ่งที่คนทั่วๆ ไปจำนวนไม่น้อยที่เราเรียกว่า “มนุษย์” ทำกับคนพิการนั้นเราจะเรียกว่า “ใจสูง” ได้จริงหรือ ? ดังนั้นมันจึงกลับมาสู่สิ่งเดิมนั้นก็คือสิ่งที่คนทุกคนต่างพูดว่า “เราเท่าเทียมกัน” คนพิการสามารถอยู่ร่วมกับคนปกติได้จึงเป็นคำพูดที่ดูจะยังไม่จริงในทางปฏิบัติซักเท่าไหร่นัก
แล้วอะไรละที่ทำให้คนแต่ละคนแสดงพฤติกรรมแบบนั้นออกมาต่อคนพิการ ?
ผู้เขียนมองว่า “ทัศนคติ” สำคัญที่สุด หากว่ามนุษย์ในสังคมไทยมี “ทัศนคติ” ต่อคนพิการดี มันจะนำมาซึ่งสู่การ “เปิดใจ” และ “เข้าใจ” ในที่สุด ทัศนคติบางคนที่มีต่อคนพิการอาจมองถึงขั้นที่ว่าคนพิการยังไงก็ไม่มีโอกาสทำอะไรที่มีคุณค่าได้เหมือนคนปกติ บางคนเปรียบเปรยดั่งว่าคนพิการเหมือนของเสียที่ออกมาจากกระบวนการผลิตสินค้าจากโรงงาน ในความเป็นจริงนั้นไม่มีใครสามารถเปลี่ยนทัศนคติของคนๆ นั้นได้นอกจากตัวของเขาเอง หลายคนมองเรื่องของการให้ข้อมูล ให้คำแนะนำ จนกระทั่งไปถึงการปรับพฤติกรรมเช่น การทำโทษ การให้รางวัล เพื่อเป็นการปรับมุมมองทัศนคติของคนอื่น และบางครั้งเมื่อพฤติกรรมคนๆ นั้นเปลี่ยนแปลงก็เข้าใจได้ว่าทัศนคติเขาคงเปลี่ยนไปด้วย แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลยเพราะพฤติกรรมที่เปลี่ยนนั้นมันเป็นเพียงแค่เปลือกที่ถูกกระตุ้นจากภายนอกซึ่งมันไม่ยั่งยืน ทัศนคติที่แท้จริงจะเปลี่ยนได้จะต้องระเบิดออกมาจากภายในใจของคนๆ นั้นเอง ซึ่งผมมองว่าส่วนหนึ่งที่จะช่วยทำให้คนปรับทัศนคติได้จริงๆ จะต้องเป็นการทำให้เห็นภาพของ “ผลลัพธ์” ที่ชัดเจน
“ผลลัพธ์” ในที่นี้ก็คือผลลัพธ์ที่ว่าคนพิการสามารถอยู่ร่วมกับคนปกติในสังคมได้ สามารถเรียน ทำงาน ใช้ชีวิต ร่วมกันได้จริงๆ ถึงแม้ว่าจะมีบางเรื่องที่แตกต่าง แต่ว่าทั้งเราและเขาก็เกิดมามีจิตวิญญาณของความเป็น “มนุษย์” เหมือนกัน มีร่างกายที่เป็น “มนุษย์” เหมือนกัน เราต้องยอมรับความจริงว่าเราจะทำให้ทุกคนยอมรับคนพิการไม่ได้ แต่อย่างน้อยเราก็ยังสามารถเปลี่ยนเสี้ยวเล็กๆ ของคนในสังคมได้ไม่มากก็น้อยซึ่งจะทำให้สังคมโดยภาพรวมน่าอยู่ขึ้น หากว่าทางภาครัฐอยากปรับเปลี่ยนสิ่งนี้เราต้องช่วยกันส่งเสริมให้ผู้พิการมีงานทำ สร้างศูนย์ฝึกอาชีพหลากหลายอาชีพตามความถนัดของแต่ละคนซึ่งจะทำงานร่วมกันกับคนปกติ สร้างระบบการเรียนร่วมซึ่งผู้พิการเรียนร่วมกับคนปกติ
ให้ข้อมูลสร้างสื่อและประชาสัมพันธ์ทำให้คนทั่วๆ ไปเข้าใจและเห็นภาพคนพิการว่าสามารถอยู่ร่วมกับทุกคนได้มากขึ้น โดยเฉพาะคนพิการที่ประสบความสำเร็จในการอยู่ร่วมกับคนปกติและเป็นที่ยอมรับจากคนปกติ เมื่อมีต้นแบบที่ดีแล้วคนทั่วๆ ไปมองเห็นว่าเราสามารถอยู่ร่วมกันได้จริงๆ ก็จะนำมาสู่การที่คนจะเริ่มยอมรับในชีวิตจริงเช่น บางบริษัท บางโรงเรียน อาจยอมรับคนพิการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตน ซึ่งจะนำมาสู่การที่คนในสังคมทั่วๆ ไปยอมรับคนพิการมากขึ้น ปัญหาการด้อยค่าคนพิการก็จะลดลง คนจะเห็นค่าของความเป็นคนที่คนพิการต้องการความพิเศษบางอย่างกว่าตนมากขึ้นเช่น คนจะไปจอดรถในที่จอดรถคนพิการน้องลง คนจะเห็นความสำคัญของ Braille Block มากขึ้น เป็นต้น
และอีกสิ่งหนึ่งที่ควรจะสร้างไปพร้อมๆ กันนั้นก็คือ การปลูกจิตสำนึกที่ดี อันเป็นส่วนสำคัญที่จะนำไปสู่ทัศนคติที่ดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ควรถูกปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็กซึ่งเป็นวัยที่เป็นรากฐานสำคัญที่สุดของชีวิต ดังนั้นบุคคลที่สำคัญไม่แพ้กันนั้นก็คือ “อาชีพครู” และอาชีพที่เกี่ยวข้องกับความเป็นครู อาชีพครูเป็นอาชีพที่น่ายกย่องเพราะเป็นอาชีพที่เสียสละ อาจต้องเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ เป็นอาชีพที่อยากเห็นผู้อื่นได้ดีโดยทำออกไปด้วยความรัก จริงใจ และที่สำคัญที่สุดเป็นอาชีพที่ต้องใช้ใจนำ ถ้าเป็นครูโดยไม่มีใจเลยก็ยากที่จะเป็นครูที่ดีและสำเร็จได้
เพราะอาชีพครูนั้นไม่ได้มอบและสอนแต่เพียงความรู้ให้แก่ลูกศิษย์ แต่ยังมอบ ความรัก ความสุข จริยธรรม สติปัญญา การให้อภัย การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และความเมตตา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ลูกศิษย์มีความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริงในภายภาคหน้า สิ่งเหล่านี้เราเรียกว่า “ครูที่มีจิตวิญญาณของความเป็นครู” ดังนั้นการอบรม ให้ความรู้ คัดเลือกบุคคลที่จะมาเป็นครูนั้นจึงเป็นส่วนที่สำคัญมาก เพราะครูที่ดีต้องเริ่มมาจากตัวตนของตัวครูเองก่อน และถ้าหากว่าครูได้ปลูกฝังในสิ่งที่ถูกต้องให้กับนักเรียน มันจะนำมาสู่การที่ทำให้นักเรียนได้เป็นมนุษย์อย่างแท้จริง ซึ่งจะมุ่งไปสู่ทัศนคติที่ดีและถูกต้องต่อผู้พิการและต่อมนุษย์เพื่อนร่วมโลกทุกๆ คน
หลายท่านอาจสงสัยว่าปัญหานี้มันเกี่ยวอะไรกับจังหวัดกรุงเทพมหานคร มันเป็นปัญหาภาพรวมของประเทศไทยไม่ใช่หรือ ?
คำตอบก็คือใช่แล้ว มันเป็นปัญหาทั้งประเทศไทย แต่ว่าจังหวัดกรุงเทพมหานครนั้นก็คือหัวใจของประเทศไทยไม่ใช่หรือ ? จังหวัดกรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย คำว่าเมืองหลวงนั้นคงจะไม่ได้หมายความว่าเป็นหัวเรือใหญ่ของประเทศในด้านการบริหารประเทศเพียงอย่างเดียว แต่มันยังหมายถึงเป็นภาพลักษณ์ของประเทศไทย และเป็นตัวอย่างให้แก่จังหวัดอื่นๆ ในประเทศไทยด้วย ดังนั้นถ้าหากว่าสังคมในจังหวัดกรุงเทพมหานครได้เปลี่ยนแปลง มันจะสะท้อนและเป็นแรงผลัดดันไปสูงสังคมจังหวัดอื่นๆ ให้ซึมซับและทำให้จังหวัดอื่นๆ เปลี่ยนแปลงด้วย แล้วภาพรวมของสังคมประเทศไทยที่มีต่อคนพิการจะดีขึ้นตามลำดับ
นี้คือเสียงหนึ่งจากคนที่ได้เห็นคนพิการถูกปฏิบัติในชีวิตจริง แล้วแบบนี้คนพิการจะเอาตัวรอดอย่างไรละ ? หลายคนพูดว่า “คนเรามีทั้งคนดีและคนเลว เราทำอะไรไม่ได้หรอก” ซึ่งก็จริงครับว่าคนในสังคมมีทั้งคนดีและคนเลว และเราไม่สามารถเปลี่ยนเขาได้หากเขาไม่คิดจะเปลี่ยนตัวเอง ดังนั้นการเอาตัวรอดที่ดีที่สุดก็คือ “การที่เราปรับเปลี่ยนใจตัวเอง” คนพิการอาจต้องมาปรับมุมมอง วิธีคิดของตัวเองให้มองโลกในแง่บวก ดังนั้นต่อให้สังคมแย่แค่ไหนแต่ถ้าเรามี Self-Esteem ที่แข็งแกร่งพอก็จะทำให้เรารู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง เห็นคุณค่าในตัวเอง รักตัวเอง และมีความสุขในการใช้ชีวิต นี้คือสิ่งที่หลายๆ คนได้บอก ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับวิธีคิดนี้ที่ว่าสุดท้ายแล้วเราปรับเปลี่ยนใจคนอื่นไม่ได้แต่เราปรับเปลี่ยนใจตัวเราเองได้
แต่ผมก็ยังคงเชื่อว่าสังคมยังเปลี่ยนแปลงได้ ผมเชื่อว่ายังมีคนดีๆ ในสังคมอีกมากมายที่พร้อมที่จะเปิดใจยอมรับคนพิการเพราะผมได้เจอกับตัวเองมาแล้วหลายคน และหากภาครัฐมีนโยบายที่ส่งเสริมก็จะเป็นโอกาสอันดีที่จะช่วยทำให้คนในสังคมยอมรับและเห็นคุณค่าของคนพิการผู้เป็นเพื่อนร่วมโลกได้มากยิ่งขึ้น ผมยังคงเชื่อและศรัทธาในความดีของคน ถึงแม้ว่าเราจะเปลี่ยนสังคมทั้งหมดไม่ได้แต่อย่างน้อยเราเริ่มต้นได้จากตัวเราเอง หากว่าเราเปลี่ยนหนึ่งคนสังคมก็จะได้คนที่ยอมรับคนพิการขึ้นมาเพิ่มคนหนึ่ง ซึ่งเราเป็นจุดเล็กๆ ของสังคมในภาพรวม และถ้าหลายคนเปลี่ยนก็เท่ากับว่าจุดเล็กๆ ในสังคมก็จะมากขึ้นไปเรื่อยๆ และผลสุดท้ายสังคมโดยภาพรวมก็จะดีขึ้นมาเอง
แล้วคุณละครับเชื่อไหมว่าสังคมของเราจะเปลี่ยนแปลงได้ ? หากคุณเชื่อไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตามคุณทำหน้าที่ของคุณให้ดีที่สุดและเริ่มต้นเปลี่ยนจากตัวคุณเองก่อน และเมื่อคุณเปลี่ยนแล้วหลายๆ คนเปลี่ยน สุดท้ายภาพรวมของสังคมก็จะดีขึ้นให้สมดั่งกับการที่ชาตินี้เราได้เกิดมาเป็น“มนุษย์” อย่างแท้จริง !
หมายเหตุ
* กลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์ (Asperger Syndrome) คือกลุ่มอาการที่เกิดจากความผิดปกติทางการทำงานของระบบประสาทและสมอง ที่มีความบกพร่องในเรื่องของการสื่อสารและการเข้าใจผู้อื่น บกพร่องในเรื่องทักษะสังคมและ Common sense มีพฤติกรรมทำอะไรซ้ำๆ หมกมุ่นแต่เรื่องที่ตัวเองสนใจ และขาดความยึดหยุ่นในบางด้านของการใช้ชีวิต ซึ่งปัจจุบัน Asperger Syndrome จัดให้อยู่ในกลุ่มของ Autism Spectrum Disorder (ASD)
** ขอบคุณภาพประกอบจากซีรีย์ Extraordinary attorney woo