การสมคบคิดอันยิ่งใหญ่ของอุตสาหกรรมหลอดไฟ จุดเริ่มของการผลิตสินค้าที่หมดอายุก่อนเวลาอันควร
ทุกวันนี้เรามักจะมองว่าการแข่งขันในตลาดจะทำให้บริษัทต่าง ๆ แข่งกันเพื่อผลิตสินค้าที่ดีที่สุดออกมาสู่ผู้บริโภค บริษัทที่ผลิตของไม่ดีมาสุดท้ายก็ต้องล้มหายตายจากไปถ้าคนไม่ซื้อสินค้า
นี่อาจเป็นสิ่งที่จริงในระยะยาว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นจริงในระยะกลางถึงสั้น เพราะในระยะแบบนี้ การรวมหัวกันของบริษัทในการ “ผลิตของที่ไม่ดีเท่าที่ควร” มาขายผู้บริโภคเพื่อผลกำไรที่มากกว่านั้นเป็นภาวะที่ปกติมาก
การกระทำแบบนี้ในทางเทคนิคมีคำเรียกว่า การผลิตให้หมดอายุก่อนเวลาอันควร (planned obsolescence) และนี่เป็นสิ่งที่ทำกันมาเป็นร้อยปีแล้ว โดยเคสคลาสสิกที่เป็นตัวแทนของการกระทำแบบนี้จนถึงปัจจุบันก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมหลอดไฟในช่วงแรก
ตอนต้นศตวรรษที่ 20 ไฟฟ้ายังเป็นสิ่งใหม่มากสำหรับสังคม ไม่ใช่บ้านเรือนทุกหลังจากมีไฟฟ้า แต่การเกิดขึ้นของระบบไฟฟ้าก็ทำให้เกิดอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าตามมา และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ “พื้นฐาน” ที่สุดในยุคแรกก็คงจะหนีไม่พ้นหลอดไฟ
ยุคแรก อุตสาหกรรมหลอดไฟทั่วโลกแข่งกันพัฒนาเทคโนโลยีกันกระหน่ำมาก เรียกได้ว่าแข่งกันหาเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาให้หลอดไฟสว่างขึ้น ทนขึ้น และในช่วงต้นทศวรรษที่ 1920 หลอดไฟมาตรฐานที่ใช้กัน มันสามารถส่องไฟได้ยาวถึงราว ๆ 2,000 ชั่วโมงเป็นมาตรฐานแล้ว
อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมหลอดไฟพบว่าการแข่งกันทำหลอดไฟที่ยิ่งใช้ได้นานแม้ว่าผู้บริโภคจะยิ่งแฮปปี้ แต่มันสร้างหายนะให้บริษัท เพราะหลอดไฟยิ่งทน มันก็หมายถึงผู้บริโภคจะยิ่งซื้อหลอดไฟถี่น้อยลง ผลก็คือยอดขายหลอดไฟก็จะตกไปเรื่อย ๆ ในระยะยาว
ผลก็คือ ประธานบริษัทหลอดไฟจากทั่วโลก (ในนั้นมีบริษัทที่เรารู้จักกันดีทุกวันนี้อย่าง General Electrics จากอเมริกา Osram จากเยอรมนี และ Phillips จากเนเธอร์แลนด์ด้วย) ก็มาประชุมกันที่กรุง Geneva ในปี 1925 ว่าจะทำยังไงดี และก็สร้างพันธมิตรทางธุรกิจหลอดไฟที่เรียกว่ากลุ่ม Pheobus ขึ้น โดยกลุ่มนี้มีสมาชิกทั่วโลก และเรียกได้ว่าคุมตลาดหลอดไฟไว้ทั้งโลกก็ว่าได้
แน่นอนการรวมตัวของกลุ่มก็ประกาศจุดประสงค์ว่าจะสร้างมาตรฐานและร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมหลอดไฟโลกอะไรก็ว่าไป แต่ในทางปฏิบัติจริง ๆ การ “สมคบคิด” กันครั้งนี้มันร้ายกว่านั้น
เพราะทุกบริษัท เห็นร่วมกันว่า ถ้ายังแข่งกันพัฒนาเทคโนโลยีให้หลอดไฟใช้ได้นานแบบที่เป็นอยู่กัน ยอดขายคงพังเละกันหมดแน่ ทุกบริษัทเลยรวมหัวในการ “หยุดพัฒนา” หลอดไฟที่ใช้ได้นานขึ้น แต่เน้นหลอดไฟที่เน้นสว่างขึ้นแต่อายุสั้นแทน
ผลคือหลังจากการรวมตัวไม่นาน อายุใช้งานของหลอดไฟทั่วโลกก็ค่อย ๆ ลดลง จาก 2,000 ชั่วโมง ลงไปเหลือ 1,000 ชั่วโมงในที่สุด โดยทางอุตสาหกรรมอ้างว่านี่คือราคาที่ต้องจ่ายเพราะไฟมันสว่างขึ้น
ประเด็นคือ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คืออายุใช้งานหลอดไฟมันลดลง 50% แต่หลอดไฟกลับว่างขึ้นแค่ราว ๆ 10% และแน่นอนว่าราคาไม่ได้ถูกลง แต่แพงขึ้นด้วยซ้ำ ตามประสาเทคโนโลยีใหม่ในท้องตลาด
นอกจากนี้นักประวัติศาสตร์เทคโนโลยีในปัจจุบันเชื่อกันว่า มันเป็นไปไม่ได้เลยที่อุตสาหกรรมหลอดไฟจะไม่มีปัญญาพัฒนาหลอดไฟที่อายุใช้งานเท่าเดิม แต่สว่างขึ้น แต่สิ่งที่บริษัทจงใจทำคือ พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่อายุใช้งานสั้นลง เพื่อให้คนจะได้ซื้อไปเปลี่ยนบ่อย ๆ สร้างรายได้ให้บริษัท
และภาวะแบบนี้ก็ดำเนินมาเป็นสิบปี ไม่มีที่ท่าว่าผู้บริโภคจะได้ใช้หลอดไฟดี ๆ อายุใช้งานนาน ๆ เหมือนช่วงก่อน
ก็เรียกได้ว่าจนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 นี่แหละ ที่ทำให้การรวมหัวทางธุรกิจต้องหยุดชะงักอย่างถาวร (เพราะบริษัทใหญ่ ๆ ก็มาจากประเทศที่เป็นศัตรูกันตอนสงคราม) และบริษัทเหล่านี้ก็ต้องมาแข่งกันใหม่หลังสงครามจบ เราเลยได้มีหลอดไฟดี ๆ ใช้อีกครั้งจนถึงทุกวันนี้
นี่อาจฟังดูเป็นแฮปปี้เอ็นดิ้ง แต่เอาจริง ๆ แนวทางการปฏิบัติแบบนี้ก็ยังพบอยู่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและเครื่องใช้ไฟฟ้าในปัจจุบัน
เคยสังเกตมั้ยครับว่าทำไมเครื่องใช้ไฟฟ้าสมัยนี้ไม่ทนเหมือนเมื่อก่อน เครื่องใช้ไฟฟ้าสมัยก่อนใช้กันทีเป็นสิบ ๆ ปี สมัยนี้อายุใช้งานไม่ยาวแบบนั้นแน่ ๆ เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะพวกที่ “ไฮเทค” มาก ๆ
บางคนก็อาจบอกว่าเพราะเทคโนโลยีใหม่มันมาเรื่อย ๆ แต่เราเคยสังเกตมั้ยว่าหลังจากเทคโนโลยีใหม่มาได้ไม่นาน ถึงเราไม่อยากจะเปลี่ยนเครื่องใช้ไฟฟ้า เราก็ต้องเปลี่ยน เพราะมันจะเสีย และต้นทุนการซ่อมแซมประเมินแล้วไม่คุ้ม ซื้อใหม่ดีกว่า ได้ของใหม่ไฮเทคกว่า
นี่แหละครับ การผลิตให้หมดอายุก่อนเวลาอันควร ยังมีชีวิตอยู่ดีเลย เพราะถ้าไปสังเกต อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าสมัยนี้มันก็เป็นแบบนั้น มันแค่ซับซ้อนขึ้น บริษัทต่าง ๆ จงใจผลิตโดยไม่ใช้ของที่ดีที่สุด เพื่อให้เสียในเวลาที่กำหนด และวางกลไกต่าง ๆ ให้ซ่อมไม่ได้ ซ่อมไม่คุ้ม จนสุดท้ายให้เราต้องซื้อใหม่เรื่อย ๆ สร้างยอดขายให้บริษัทไปเรื่อย ๆ ยิ่งถี่ยิ่งดี
คือมันไม่ได้ต่างจากสมัยที่อุตสาหกรรมหลอดไฟรวมหัวกันเพื่อผลิตหลอดไฟให้อายุใช้งานสั้นลงเลย สมัยนี้มันแค่ซับซ้อนขึ้นเฉย ๆ แนวคิดพื้นฐานมันแบบเดียวกัน
นี่เป็นสิ่งที่เราไม่ระแคะระคายเท่าไร เพราะเราอยู่กับมันจนชิน แต่ในความเป็นจริง มองในระดับโลก วิธีคิดผลิตสินค้าที่อายุใช้งานไม่นานให้คนซื้อบ่อย ๆ แบบนี้มันสร้างขยะอิเล็กทรอนิกจำนวนมหาศาลซึ่งขยายตัวขึ้นทุกปี และสร้างปัญหาในการจัดการไปทั่วโลกเรียบร้อยแล้วครับในตอนนี้
อ้างอิง: